เมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว ผู้บริหารระดับสูงจากกลุ่มซีพีเอ็น “นริศ เชยกลิ่น” ได้ก้าวออกจาก Comfort Zone เพื่อมารับงานท้าทายชิ้นใหม่ กับการสร้างให้ สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) บริษัทน้องในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำตลาด ด้วยเป้าหมาย Premier Property Development & Investment Holding Company ซึ่งเป็นการดำเนินงานควบคู่ไปกับนโยบายด้านความยั่งยืนขององค์กร (Sustainability Development Strategy)
ความยั่งยืนคือสิ่งที่ท้าทาย
ในครั้งที่ซีอีโอท่านนี้เคยเดินเคียงข้างกับ “กอบชัย จิราธิวัฒน์” เขาเป็นคนหนึ่งที่สร้างให้อาณาจักรซีพีเอ็นเติบใหญ่และมั่นคง ซึ่งนั่นคือ ผลงานชิ้นเอกที่เขาภาคภูมิใจ…
ในวันนี้ เมื่อเขาก้าวเดินออกมานั่งในตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สิงห์ เอสเตท ทำหน้าที่แม่ทัพใหญ่กับภารกิจสร้างอาณาจักรให้ยั่งยืนมั่นคง ซึ่งปีนี้จะเป็นปีที่สิงห์ เอสเตท โอนโครงการยูนิตแรก จากโครงการคอนโดมิเนียม ดิ เอส สิงห์คอมเพล็กซ์ อโศก ( (THE ESSE at SINGHA COMPLEX) ถึงมือลูกค้า
โดยแม่ทัพท่านนี้ย้ำว่า ต้องโอนได้ภายในเดือนตุลาคม 2561 นี้ ตามแผนงานเดิม แม้จะประสบปัญหาล่าช้ามา 2 เดือน จากการรออนุมัติ EIA (Environmental Impact Assessment Report) แต่เขามั่นใจว่าทำได้แน่นอน
นริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สิงห์ เอสเตท
“นริศ” เล่าว่า หัวใจของการบริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คือ การเลือกทำเลที่ใช่ และคุณภาพที่ดีของโครงการ ซึ่งเขายึดเอาแนวทางของ Sustainability Development Strategy มาเป็นแกน
และนั่นคือแนวทางที่ทำให้ความท้าทายของเขาสนุกยิ่งขึ้น เพราะมันคือต้นทุนที่เพิ่มขึ้นถึง 5-10% จากการดำเนินโครงการแบบปกติ เนื่องจากต้องใส่ใจกับทุกขั้นตอนของการทำงาน ไม่ให้ไปกระทบกับสิ่งแวดล้อม โดยไม่ได้จำกัดอยู่แค่วัสดุที่ใช้ แต่รวมไปถึงบุคลากร ดีไซน์ ขั้นตอนการทำงานทุกอย่าง ต้องคำนึงถึงเรื่องเหล่านี้ทั้งสิ้น
เป้าหมายของซีอีโอท่านนี้ คือ การทำให้ทุกโครงการของสิงห์ เอสเตท อยู่ในการควบคุมดูแลตามแนวทาง Sustainability Development Strategy ไม่ว่าจะเป็นโครงการที่คอนโดมิเนียม ดิ เอส สิงห์คอมเพล็กซ์ อโศก ที่ขายไปแล้วกว่า 80% โครงการดิ เอส สุขุมวิท 36 ที่เปิดขายมาเพียงไม่กี่เดือน สามารถขายได้กว่า 60% และอีกหนึ่งโครงการคือ บ้านเดี่ยวระดับ 6 ดาวทำเลถนนเลียบด่วนเอกมัย-รามอินทรา
ส่วนโครงการในต่างประเทศ ที่มัลดีฟส์ จะเปิดเฟสแรกปลายปีนี้ 2 เกาะ กับเมกะโปรเจ็กต์ Emboodhoo Lagoon ที่มัลดีฟส์ ซึ่งเซ็นสัญญาเช่าพื้นที่กับรัฐบาล 9 เกาะ ระยะเวลา 50 ปี และสิทธิต่อสัญญาอีก 49 ปี
โดยเฟสแรกพัฒนา 3 เกาะ ลงทุน 1.1 หมื่นล้านบาท เป็นการลงทุนในรูปแบบมิกซ์ยูส คาดว่าจะลงทุนครบทั้ง 9 เกาะ ภายในปี 2565 รวมงบลงทุนโปรเจ็กต์มัลดีฟส์ 2 หมื่นล้านบาท โดย 2 เกาะแรกจะเปิดปลายปีนี้ เกาะแรกจะเป็นเกาะใหญ่มีมารีน่า มีอู่จอดเรือ มีบิซิเนสคลับ และมีบีชคลับที่ใหญ่ที่สุดในโลก จากการลงทุนของนักลงทุนออสเตรเลียที่ได้แฟรนไชส์มาร่วมลงทุนด้วย
นอกจากนี้ ยังมีสปาไทย มีร้านค้า ประมาณ 20 ร้านค้า และมีไดร์ฟเซ็นเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในมัลดีฟส์ มีโรงแรม คล้ายๆ แอร์พอร์ตโฮเทล
“นริศ” บอกอีกว่า สำหรับโครงการในต่างประเทศนั้น สิงห์ เอสเตท ยังมีที่อังกฤษ ขณะนี้เข้าไปลงทุนโรงแรมแล้ว 3,100 ห้อง และจะซื้ออีก 6 แห่ง รวม 800 ห้อง ตั้งเป้าว่าภายในปี 2563 จะมีทั้งหมด 5,000 ห้อง
“การขยายธุรกิจในประเทศของสิงห์ เอสเตทมีแผนการเพิ่มทำเลใหม่ๆ ปีละ 2-3 แห่ง โดยไม่เน้นการปั่นราคาที่ดิน แต่เน้นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนเป็นรายได้ประจำ (Recurring Income) การหาโลเคชั่นที่เหมาะสมเป็นเรื่องที่สำคัญ แต่การไปซื้อที่ราคาแพงมากๆ สุดท้ายภาระจะไปตกกับผู้บริโภคโดยไม่จำเป็น”
ความสำเร็จเกิดจากทีม-มีพาร์ทเนอร์ชีป
“นริศ” ย้ำว่า คนๆ เดียว ไม่สามารถสร้างความสำเร็จที่ยั่งยืนได้ อย่างเรื่องของแผนการสร้างความยั่นยืนให้กับองค์กร เขาได้ให้ความสำคัญกับการสร้างทีม อย่างโครงการที่สันติบุรี ซึ่งเป็นฐานอสังหาริมทรัพย์ที่มีอยู่เดิมของกลุ่มสิงห์ เขาเริ่มต้นด้วยการเข้าไปวางระบบงาน ระบบคน ระบบข้อมูล โดยเฉพาะแบ็คออฟฟิศ สร้างแบรนด์ สร้างวัฒนธรรมองค์กร และจุดมุ่งหมาย
“การสร้างทีม สร้างคน เป็นงานเร่งด่วนอันดับต้นๆ สำหรับองค์กรที่มีการควบรวม จากแนวทางธุรกิจที่ต้องการขยายตัวและเติบโตอย่างรวดเร็ว เราเชื่อมั่นว่า มันไม่มีอะไรที่จะทำให้ประสบความสำเร็จได้เพียงคนเดียว โดยเฉพาะภายในเวลาสั้นๆ เราต้องอาศัยประสบการณ์ อาศัยคนที่เคยผ่านปัญหา หรือประสบความสำเร็จในแต่ละด้านมาร่วมกัน”
นอกจากนี้ “พาร์ทเนอร์ชิป” (partnership) ก็เป็นอีกหนึ่งหลักการทำธุรกิจที่สำคัญ การที่จะทำให้ธุรกิจเดินหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว ต้องมีพาร์ทเนอร์ที่ดีมาช่วยเสริม ที่เห็นได้ชัด คือ โครงการที่มัลดีฟส์ ที่มีพาร์ทเนอร์มากมายเข้ามาร่วมแจม ทำให้โครงการออกมาเลิศหรูกว่าที่ซีอีโอคนนี้คาดไว้
“นริศ” บอกว่า การที่สิงห์ เอสเตท เกิดขึ้นมาทีหลังบริษัทอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ทำให้ต้องทำงานยากกว่าคนอื่น เพราะต้องสร้างโปรดักส์ที่ดี การคิดโปรดักส์ต้องละเอียดรอบคอบ หาจุดขายที่แตกต่างที่สามารถเอาชนะคู่แข่ง
ขณะเดียวกัน Integrity หรือธรรมาภิบาลขององค์กร ซึ่งเป็นสิ่งที่กลุ่มสิงห์ หรือกลุ่มบุญรอด มีอยู่ในตัว ก็ต้องดำเนินต่อไป ต้องทำธุรกิจที่ไม่เอาเปรียบคนอื่น เพราะนั่นคือดีเอ็นเอของคนสิงห์ที่ถ่ายทอดต่อเนื่องกันมานาน
จากประสบการณ์ที่สั่งสมมาเกือบ 20 ปี ในฐานะผู้บริหารมืออาชีพที่ซีพีเอ็น และก้าวที่มั่นคงที่สิงห์ เอสเตท ด้วยหลักคิดและหลักการทำงานที่ชัดเจน ที่ซีอีโอท่านนี้ตั้งเป้ามาตั้งแต่เริ่มต้นว่า ธุรกิจ “สิงห์ เอสเตท” ในมือเขาจะต้องเป็นสถาบันด้านพร็อพเพอร์ตี้ที่มีการเติบโตอย่างยั่งยืน อยู่ใน Sustainability Index ของดาวน์โจน
นี่คือ ความท้าทายที่ “นริศ เชยกลิ่น” พร้อมที่จะเดินหน้า และมุ่งเป้าสู่ความสำเร็จ เพราะนี่คือการเติมเต็มความฝัน กับความสนใจงานด้านอสังหาริมทรัพย์ของเขานั่นเอง