เคทีซี กับภารกิจพลิกชีวิตมนุษย์เงินเดือน

1989

พิชามน จิตรเป็นธรรม ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร-ธุรกิจสินเชื่อบุคคล บมจ.บัตรกรุงไทย หรือ เคทีซี 

ภาพชีวิตของมนุษย์เงินเดือนในวันนี้ ดูจะยังต้องผจญกับวิกฤตไม่สิ้นสุด หน้าที่การงานที่เคยเจริญรุ่งเรืองเมื่อ 3 ปีก่อน อยู่ดีๆ ก็มีโรคร้ายโควิด-19 มาทำลายอนาคต คนที่โชคดีไม่ถูกเลย์-ออฟ ออกจากงาน ก็ต้องมาเจอกับการลดเงินดือน ดวงเฮงอีกหน่อย เงินเดือนอาจจะได้เท่าเดิม แต่อย่าถามหาโบนัส ไม่ต้องหวังจะได้ปรับขึ้นเงินเดือนประจำปี ครั้นพอโควิดเริ่มจะผ่อนคลายลง สภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำ เงินเฟ้อพุ่งกระจาย เงินเดือนที่มีอยู่ในมือ ก็ลดค่าลงจนแทบไม่พอใช้ 

พิชามน จิตรเป็นธรรม ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร-ธุรกิจสินเชื่อบุคคล บมจ.บัตรกรุงไทยหรือ เคทีซี เริ่มต้นสนทนาด้วยการฉายภาพเศรษฐกิจที่น่าหวาดผวาว่า “ปัจจัยสภาพแวดล้อม เรื่องเงินเฟ้อสูงสุดในรอบ 13 ปี  แน่นอนมันส่งผลกระทบมาถึงพวกเรา สินค้าปรับราคาขึ้นแรงมาก สองอาทิตย์ขึ้นที และเป็นทั้งตลาด เพราะต้นทุนการผลิตสูงขึ้น เพราะต้นทุนหลักๆ คือการขนส่ง น้ำมันมีราคาสูงขึ้น และไม่รู้ภาครัฐจะแบบต้นทุนนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน  เดิมเงิน 100 บาทอาจจะกินข้าวได้ 2 มื้อ ณ วันนี้ มื้อเดียวยังแทบไม่พอ มูลค่าเงินในกระเป๋าของคนลดลง เงินเดือนขึ้นไม่ทันอัตราเงินเฟ้อ เงินเดือนบางคนอาจถูกแช่แข็งมานานแล้ว ช่วงโควิดนายจ้างไม่ให้ออกก็ดีมากแล้ว พอเงินเดือนไม่พอใช้ กลุ่มที่เป็นระดับล่างถึงกลางเขาก็คงจะใช้ชีวิตลำบากขึ้น ต้องการเงินที่จะมาหมุนในการจับจ่ายใช้”

สถานการณ์เช่นนี้ สร้างผลกระทบกับประชาชนอย่างชัดเจนจาก อัตราความต้องการสินเชื่อที่พิชามน มองเห็น  “ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมมีใบสมัครขอสินเชื่อเข้ามาสูงขึ้น เราก็มีการอนุมัติมากขึ้น แน่นอนว่าเดือนพฤษภาคมเป็นฤดูของสินเชื่อส่วนบุคคลด้วย เพราะเป็นช่วงเด็กเปิดเทอม ค่าเทอม ค่าชุดนักเรียน อุปกรณ์การเรียน และเชื่อว่ายอดขอสินเชื่อจะอยู่ในระดับสูงตลอดทั้งปีนี้” 

 เมื่อความต้องการสินเชื่อเพิ่มขึ้น แต่สถานการณ์เศรษฐกิจยังไม่น่าวางใจ เคทีซีจึงวางแนวทางรัดกุมและยึดถือมาตลอดตั้งแต่ช่วงการระบาดของโควิด-19 ยังรุนแรง โดยการคัดเลือกลูกค้าต้องแม้ต้องดูคุณภาพมากขึ้น เลือกลูกค้าที่มีความสามารถในการชำระคืนเป็นสำคัญ  แต่พิชามน ก็ยังมองหาทางช่วยเหลือมนุษย์เงินเดือนที่ได้รับผลกระทบกลุ่มนี้

“หากเราปรับเกณฑ์สูงขึ้น คนเหล่านี้ก็อาจไม่สามารถเข้าถึงระบบสินเชื่อของธนาคารได้ เราจึงยังยืนรายได้เริ่มต้นที่ 12,000 บาท แต่มีหลักเกณฑ์ในการกรองคุณภาพ เพราะหากเพิ่มฐานเงินเดือนสูงขึ้น คนกลุ่มนี้ที่อาจไม่มีหนี้มาก มีความสามารถในการชำระคืน มีวินัย เขาต้องมีโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อธนาคาร ไม่เช่นนั้นเขาก็จะออกไปสู่สินเชื่อนอกระบบที่มีอัตราดอกเบี้ยจะแพงขึ้นหลายเท่า”

พิชามน เล่าต่อว่า “ยอดการปฏิเสธอนุมัติสินเชื่อของเคทีซีมีน้อยลงตั้งแต่ 2  ปีผ่านมา เราเข้มตั้งแต่โควิดเข้ามา  เป็นเหตุให้หนี้ NPL ลดลง เพราะไม่รับคนมีความเสี่ยงเข้ามา ช่วงปีการระบาดหนัก ยอดการอัตราอนุมัติลดลงเหลือ 20%  วันนี้อัตราการอนุมัติกลับมาใกล้เคียงก่อนช่วงโควิด ประมาณกว่า 30%  ค่อยๆ ปรับตัวสูงขึ้น จากกลุ่มที่เริ่มกลับมาทำธุรกิจได้ เช่น กลุ่มธุรกิจบริการที่เคยปิดตัวช่วงล็อกดาวน์  วันนี้เราก็ดูจากกลุ่มธุรกิจที่รัฐเปิดให้กลับมาบริการได้ เช่น การท่องเที่ยวที่เริ่มกลับมา เป็นต้น” 

แต่เคทีซีก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการหาลูกค้าใหม่เท่านั้น กับลูกค้าปัจจุบัน ใน 2 ปีที่ผ่านมา 7.5 แสนราย พิชามน ก็วางแนวทางที่จะดูแลลูกค้าให้ดีที่สุด

“เราให้ความช่วยเหลือลูกค้าอยู่ตลอดทั้งการลดอัตราดอกเบี้ย เหลือ 22% ยังคงทำต่อเนื่อง การชำระขั้นต่ำเพียง 3%  เงินกู้ 10,000 บาท จ่ายคืนเพียงเดือนละ 300 บาท ยังคงสถานะนี้ในบัญชีปกติ แม้ความจริงลูกค้าส่วนใหญ่ก็ไม่ได้จ่ายในอัตราขั้นต่ำมากนัก  ค่าเฉลี่ยการจ่ายคืนของลูกค้า อยู่ที่ประมาณ 11-12% ในแต่ละเดือน ลูกค้ามีกำลังจ่าย เขาก็จ่าย แปลว่า ความสามารถในการจ่ายไม่ได้ลดลงเลย”  

นอกจากนี้  การสร้างกิจกรรมทางการตลาดของเคทีซี ก็เน้นไปที่การสร้าง Brand Royalty ในใจลูกค้าให้ทุกครั้งที่ต้องการใช้เงิน ให้นึกถึงบัตรกดเงินสด เคทีซี เป็นบัตรแรก ด้วยการจัดกิจกรรมโปรโมชั่นที่ได้มาจากความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง

“แคมเปญหลักของเราคือ เคลียร์หนี้  ที่เป็นอินไซต์ของคนกู้เงินจริงๆ เราทำมาหมดแล้ว แจกรถ วิออส ยาริส แจกคอนโดพร้อมอยู่ เพราะคิดว่าลูกค้าอยากได้  แต่เมื่อไปถามความรู้สึกจริงๆ เขาตอบว่า ไม่อยากได้ ให้รถไปก็เอาไปขายต่อ ได้คอนโดไปเป็นปัญหา ไม่มีเงินจ่ายค่านิติบุคคล หลายหมื่นบาท ถามกับตัวเองว่า ถ้าเราเป็นคนกู้เงิน อยากได้มือถือไหม อยากได้รถไหม เขาไม่มีความสุขหรอก เอาไปใช้ก็ไม่ได้แฮปปี้ ที่ยังต้องแบกอยู่ก็คือภาระหนี้ก้อนโต ทำอย่างไรให้เขาปลดหนี้  นี่คือความต้องการที่แท้จริง” 

จนถึงปีนี้ กิจกรรมเคลียร์หนี้ของบัตรกดเงินสดเคทีซี ได้จัดมาถึงครั้งที่ 13  รางวัลใหญ่คือ เคลียร์หนี้ให้หมด 100% หนึ่งรางวัล และรางวัลเคลียร์หนี้ให้ 10% อีก 50 รางวัล มอบให้กับลูกค้าที่มีวินัยในการชำระหนี้อย่างต่อเนื่อง  โดยตลอดเวลาที่จัดกิจกรรมได้ทำการเคลียร์หนี้ให้กับลูกค้าที่ได้รับรางวัลไปแล้วราว 5,000 ราย คิดเป็นวงเงิน 36 ล้านบาท  

“เราอยากถ่ายทอดเรื่องราวดีๆ นี้ออกมา เพื่อให้รู้ว่า หากคุณมีวินัยในการชำระหนี้ กู้เงินเขามา ก็เป็นความรับผิดชอบที่ต้องคืนเงิน ไม่ใช่จะรอให้รัฐบาลช่วย ดังนั้นในฐานะที่เราจัดเคลียร์หนี้มาถึงครั้งที่ 13 จึงอยากบอกกับสังคมว่า ถ้าคุณมีวินัย ชำระตรงตามกำหนด เพียงขั้นต่ำ 3% ไม่ต้องกดเพิ่ม คุณก็มีสิทธิลุ้นเคลียร์หนี้ มันอาจจะเป็นเสียงเล็กๆ แต่เรารู้ว่าสังคมต้องการเรื่องนี้” 

ไม่เพียงการช่วยเหลือในการลดดอกเบี้ย ปลดหนี้ หรือลดหนี้เท่านั้น แต่เคทีซี ยังเพิ่มบทบาทในการช่วยเหลือลูกค้ามีช่องทางในการสร้างรายได้เพิ่มขึ้น เพื่อยกระดับชีวิตให้ดีขึ้น

“เป้าหมายที่เราตั้งไว้ และต้องการทำให้ได้ คืออยากให้ลูกค้ามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีเงินมาจ่ายหนี้ ด้วยการมีรายได้เสริม จากฟีดแบ็กที่เราไปแจกรางวัลให้ลูกค้า ที่เป็นครู บอกเงินเดือนครูไม่พอใช้ ตัวเองต้องใช้จ่าย มีคุณพ่อคุณแม่ต้องดูแล ก็ไปทำอาชีพเสริม ขายก๋วยเตี๋ยววันเสาร์-อาทิตย์ บางวันก็ไปรับจ้างทาสีกำแพง  ดังนั้นเราจึงคิดที่จะจัดกิจกรรมเสริมให้กับสมาชิก ซึ่งก็ได้ดำเนินมาต่อเนื่องระยะหนึ่งแล้วในรูป workshop สอนทำสิ่งต่างๆ ที่สามารถนำไปประกอบอาชีพได้ ทั้งการสอนทำครัวซองหน้าต่างๆ   ชานมไข่มุก ปลูกเห็ด เพาะเห็ด”   

“เป็นเรื่องของ Sustainbility  ความยั่งยืนไม่ใช่แค่คุณมาจ่ายหนี้ ก็เขาไม่มีเงินจ่าย เราก็อยากให้เกิดผลมากขึ้น ด้วยการที่เมื่อสอนจบ ก็จะมีทีมของเคทีซี สอนการบริหารต้นทุน การตั้งราคาสินค้า มีการคำนวณ Profit&Loss ให้  การวิเคราะห์คู่แข่งคือใคร สิ่งเหล่านี้จะมีการสอนช่วงท้าย 15 นาที  และเรากำลังจะมีการสอนให้ทำการค้าขายบนออนไลน์ เปิดเพจอย่างไร จะซื้อบู๊ตโพสต์อย่างไร จะมีทีมมาสอนให้  เราเปิดให้กับลูกค้าทุกคนที่โทรเข้ามาลงทะเบียนเรียน“

พลิกโฉมบัตรกดเงินสด เป็นบัตรไลฟ์สไตล์

ไม่เพียงแต่การตั้งรับให้ความช่วยเหลือลูกค้าเดิมที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ ด้านแผนการรุกตลาด เคทีซี เปิดมิติใหม่ของบัตรกดเงินสดเพื่อทั้งการดึงลูกค้าใหม่ และรักษาลูกค้าเดิม ด้วยบัตรกดเงินสด เคทีซี พราว มาสเตอร์การ์ด 

“เราเปิดตัวบัตรใหม่  เคทีซี พราว มาสเตอร์การ์ด มีเป้าหมายทั้งการหาลูกค้าใหม่ และการสร้าง Brand Royalty กับลูกค้าเดิม โดยบัตรใบนี้จะมีฟีเจอร์ที่ให้ความสะดวก ตอบโจทย์ลูกค้าในทุกมิติการใช้งานได้ในหลายมิติของการใช้ชีวิต”  พิชามน กล่าว และให้รายละเอียดของฟีเจอร์ที่หลากหลายของบัตรเคทีซี พราว มาสเตอร์การ์ดต่อว่า   

“วัตถุประสงค์แรกเริ่มเดิมทีของบัตรกดเงินสด คือการกดเงินจากตู้ ATM  เพื่อนำเงินสดไปใช้จ่าย แต่พัฒนาการของบัตรในวันนี้ ก้าวมาถึงการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารผ่านโมบายแอปพลิเคชั่นที่ผูกกับวงเงินนี้ เราจึงไม่ต้องใช้บัตร สามารถเบิกถอนได้จากสมาร์ทโฟน เพิ่มความสะดวกในการนำเงินไปทำธุรกรรมอื่นๆ ทั้งจ่ายค่าประกัน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ โอนเงินเข้าได้ 15 ธนาคาร วงเงินการโอนสูงสุด 5 แสนบาทต่อวัน สูงกว่ากดจาก ATM ที่ได้วันละ 20,000 บาท”  

ฟีเจอร์แรกก็ว้าวแล้ว แต่ฟีเจอร์ต่อมา ยิ่งว้าวใหญ่   “ด้านการผ่อนซื้อสินค้า ความแข็งแรงของบัตรเครดิต วันนี้คือใช้ได้กับทุกร้านค้า ทุกห้างสรรพสินค้า ร้านค้าที่มีโปร 0% 10 เดือน บัตรเคทีซี พราว มาสเตอร์การ์ด ที่มีความร่วมมือกับมาสเตอร์การ์ด ก็ได้โปรนี้ด้วย และที่สำคัญบัตรกดเงินสด ไม่มีเกณฑ์การกำหนดจากธนาคารแห่งประเทศไทย เหมือนบัตรเครดิต ที่กำหนดให้ผ่อนได้ไม่เกิน 10 เดือน จึงสามารถผ่อนได้ยาวนานกว่านั้นถึง 36 เดือน  และล่าสุดเราได้เพิ่มบริการแตะจ่าย รับชำระค่าสินค้าที่ร้านค้า รวมถึงการช้อปปิ้งออนไลน์กับแอปพลิเคชั่นขายสินค้าออนไลน์ หรือสั่งอาหารออนไลน์อีกด้วย”

แต่เมื่อบทบาทของบัตรกดเงินสด ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินก้อนไปใช้ลงทุน หรือชำระหนี้สิน กลายเป็นบัตรที่ให้ผู้ถือบัตรนำมาใช้จ่ายในการใช้ชีวิตประจำวัน พิชามน ปฏิเสธทันทีว่า ไม่ได้เป็นการสนับสนุนให้ผู้ถือบัตรสร้างภาระทางการเงิน

“เราไม่ได้เปลี่ยนพฤติกรรมเขา ถ้าคนที่ต้องการกดเงินสดมาใช้เพื่อลงทุน หรือใช้จ่ายหนี้ เขาต้องการเงิน และเราก็ต้องการให้เขากู้ไปทำสิ่งนั้น เพียงแต่เงินบางส่วนที่เขาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ไปบิ๊กซี โลตัส ซื้อของเข้าบ้าน วัตถุประสงค์เหล่านี้ เราให้เขาใช้บัตร ไม่ได้กดเงินสด แล้วยังได้ส่วนลดด้วย  แต่เป้าหมายหลักของเราก็ยังเป็นเงินสด ลูกค้าส่วนใหญ่ของเราก็ยังเป็นการกดเงินสด  แต่ตัวนี้จะเป็นการเสริม ถ้าเขาต้องการกดเงินสดมาเติมน้ำมัน สิ้นเดือนเงินเดือนยังไม่ออก ก็ใช้บัตรรูดไปเลย ไม่ต้องกดเงินสด แถมยังได้ส่วนลด ที่หากจ่ายด้วยเงินสดจะไม่ได้”   

ทั้งหมดคือวิธีคิดในการทำธุรกิจของ พิชามน จิตรเป็นธรรม และเคทีซี ที่มองความยั่งยืนของธุรกิจ จากความยั่งยืน และความมั่นคงทางการเงินของลูกค้า วันนี้ไม่เพียงเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยแก้ปัญหาทางการเงิน แต่จะเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ที่ทุกครั้งเมื่อจะใช้เงิน ให้นึกถึงบัตรกดเงินสด เคทีซี พราว มาสเตอร์การ์ด