ทิสโก้ชี้ Fed อาจลดดอกเบี้ยช้ากว่าที่คาด กดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ ลงต่อ

146
คมศร ประกอบผล

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) เตือนระวังธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยช้ากว่าที่คาด และกรณีเงินเฟ้อฟื้นตัวต่อเนื่อง Fed อาจคงอัตราดอกเบี้ยทั้งปี กดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ ลงต่อ แนะนักลงทุนทยอยลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และถือเงินสดรอเข้าลงทุนในพันธบัตรระยะยาวของสหรัฐฯ ในช่วงที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น 

คมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นโลกในปีนี้เริ่มต้นปีได้อย่างคึกคัก โดยดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ ยังพุ่งขึ้นต่อเนื่องทะลุ 5,000จุด มาอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งปัจจัยที่สำคัญที่ผลักดันตลาดหุ้นทั่วโลก ได้แก่ ความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะเริ่มลดดอกเบี้ยได้ในปีนี้ โดยตลาดซื้อขายล่วงหน้าคาดว่า Fed จะเริ่มลดดอกเบี้ยในช่วงกลางปี และลดดอกเบี้ยรวมในปีนี้ราว 3-4 ครั้ง อย่างไรก็ตาม TISCO ESU คาดว่าการลดดอกเบี้ยของ Fed อาจจะล่าช้ากว่าที่ตลาดคาด และในกรณีเลวร้ายที่เงินเฟ้อฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง Fed อาจคงดอกเบี้ยไปตลอดทั้งปี ซึ่งจะทำให้บอนด์ยิลด์สหรัฐฯ พลิกกลับมาเป็นขาขึ้นในระยะสั้น และเป็นปัจจัยกดดันที่จะทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับฐานได้อีกครั้ง 

โดยอุปสรรคในการลดดอกเบี้ยของ Fed ประการแรก ได้แก่ ตัวเลขเศรษฐกิจและการจ้างงานที่แข็งแกร่งต่อเนื่อง โดย GDP สหรัฐฯ ขยายตัวต่อเนื่องในอัตราสูงกว่า 3% ในช่วงครึ่งปีหลังของปีที่แล้ว และมีแนวโน้มจะขยายตัวที่ระดับดังกล่าวต่อในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งการขยายตัวที่เกินกว่า 3% นั้นนับเป็นการขยายตัวในระดับที่เกินกว่าศักยภาพและอาจทำให้เงินเฟ้อกลับมาเร่งตัวขึ้นได้ในปีนี้ นอกจากนั้นตัวเลขการจ้างงานและการขยายตัวของค่าจ้างยังกลับมาเร่งตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 4.5% ในเดือนล่าสุด ซึ่งชี้ว่าเงินเฟ้อโดยเฉพาะในภาคบริการของสหรัฐฯ อาจมีแนวโน้มกลับมาเพิ่มขึ้นต่อจากนี้ 

นอกจากนี้ ปริมาณพันธบัตรสหรัฐฯ ที่จะออกมาขายในตลาดในช่วงไตรมาส 2 จะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จะเป็นปัจจัยผลักดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี (Bond yield) กลับมาเป็นขาขึ้นในระยะสั้น โดยในปีที่แล้วกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้มีการลดปริมาณการขายพันธบัตรระยะยาว และเปลี่ยนไปเน้นออกพันธบัตรระยะสั้น เพื่อลดแรงกดดันต่อตลาดพันธบัตรในช่วงที่บอนด์ยิลด์ปรับตัวขึ้นแรง แต่พอมาในปีนี้ปริมาณพันธบัตรระยะสั้นได้เพิ่มขึ้นไปเกินกรอบบนที่กระทรวงการคลังกำหนดไว้ที่ 20% ของตลาด และทำให้กระทรวงการคลังต้องกลับมาออกพันธบัตรระยะยาวเพิ่มขึ้นในปีนี้ 

TISCO ESU ประเมินว่าปริมาณพันธบัตรที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับแนวโน้มเงินเฟ้อที่อาจจะกลับมาเพิ่มขึ้นในระยะสั้น อาจทำให้ Bond yield กลับมาเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4.3-4.5% ในช่วงไตรมาส 2 ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันต่อเนื่องไปยังตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ซื้อขายที่ระดับพีอีที่ค่อนข้างแพงมากในปัจจุบัน TISCO ESU จึงแนะนำให้นักลงทุนทยอยลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และถือเงินสดรอเข้าลงทุนในพันธบัตรระยะยาวของสหรัฐฯ ในช่วงที่ Bond yield ปรับตัวสูงขึ้น