ไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น เดินหน้าเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ชูธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศแบบครบวงจร

269

‘บมจ.ไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น’ หรือ SINO พร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รับแนวโน้มอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และค่าระวางเรือในช่วงครึ่งปีหลังปรับตัวดีขึ้น ชูจุดแข็งด้านเครือข่ายพันธมิตรใน 165 ประเทศ และ OTI License ส่งเสริมความสามารถการแข่งขันในการให้บริการแก่ลูกค้าด้วยคุณภาพ ประสิทธิภาพ ปลอดภัย ตรงตามเวลาที่กำหนด เชื่อมต่อตลาดการค้าและส่งออกสินค้าไปยังตลาดต่างประเทศ ด้านโบรกฯ ประเมินราคาเหมาะสมอยู่ที่ 1.95 – 2.30 บาทต่อหุ้น

            นันท์มนัส วิทยศักดิ์พันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SINO เปิดเผยว่า บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำการให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจรของประเทศไทย และขยายความครอบคลุมไปยังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยใช้ความได้เปรียบเชิงการแข่งขันจากการเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศอย่างครบวงจร ให้บริการจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (Freight Forwarder) ครอบคลุมทั้งทางทะเล ทางอากาศ และทางบก รวมถึงการให้บริการให้เช่าคลังสินค้า การให้บริการด้านพิธีการศุลกากรและการให้บริการสนับสนุนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับโลจิสติกส์ ตอบสนองความต้องการของตลาดในการให้บริการขนส่งสินค้าตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางทั่วโลก (End-to-End Global Logistics) รองรับโอกาสของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ในครึ่งปีหลังที่มีทิศทางปรับตัวดีขึ้น ขณะเดียวกันข้อมูลจากผู้ประกอบการสายเดินเรือและ Shanghai Containerized Freight Index ประเมินว่าราคาค่าระวางเรือมีแนวโน้มทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นไป   

           SINO ถือเป็นผู้นำในการให้บริการขนส่งสินค้าทางทะเลรายใหญ่ในเส้นทางไทย-สหรัฐอเมริกา ที่มีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมมายาวนานกว่า 10 ปี ด้วยความชำนาญการให้บริการบนเส้นทางขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางทะเลมากกว่า 100 ประเทศ โดยมีตลาดหลักได้แก่ เส้นทางไทย-โซนอเมริกาเหนือ เส้นทางไทย-เอเชีย และเส้นทางไทย-ยุโรป ซึ่งถือเป็นเส้นทางหลักในการส่งออกและนำเข้าสินค้าหลักของการค้าโลก โดยมีเครือข่ายและพันธมิตรทางธุรกิจที่เป็นตัวแทนของบริษัทฯ ในต่างประเทศมากกว่า 165 ประเทศทั่วโลก ครอบคลุมทั้งบริษัทเดินเรือ บริษัทสายการบิน และตัวแทนการจัดการขนส่งในประเทศต่างๆ รวมถึงมี OTI License (Ocean Transport Intermediary) จาก Federal Maritime Commission (FMC) และได้วางหลักประกัน FMC Bond จึงสามารถทำสัญญาการบริการกับสายเดินเรือในการขนส่งสินค้าไปยังประเทศแถบโซนอเมริกาเหนือได้ด้วยตนเอง ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขันที่เหนือกว่าคู่แข่ง ทำให้ SINO สามารถนำเสนอโซลูชันการให้บริการขนส่งสินค้าทั้งในรูปแบบการขนส่งแบบเต็มตู้ (Full Container Load: FCL) และแบบไม่เต็มตู้ (Less Than Container Load: LCL) เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย ตรงตามระยะเวลาที่กำหนด

           นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนกลยุทธ์ขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ เพิ่มเติมในเส้นทางขนส่งไปทางทวีปต่างๆ เช่น ยุโรป ลาตินอเมริกา ตะวันออกกลางและเอเชีย เป็นต้น พร้อมนำเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการตลอดห่วงโซ่อุปทานด้านอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ เช่น ระบบ WMS เพื่อใช้บริหารจัดการคลังสินค้า การพัฒนางานขนส่ง ISO Tank ตู้คอนเทนเนอร์บรรจุของเหลวเพื่อเพิ่มความหลากหลายการให้บริการตู้คอนเทนเนอร์ การนำระบบ GPS เพื่อใช้ติดตามตำแหน่งรถในขณะปฏิบัติงาน รวมถึงบันทึกและควบคุมความเร็วในการขับขี่ให้มีความเหมาะสม เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

           “เรามุ่งเป็นผู้นำในธุรกิจให้บริการรับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศอย่างครบวงจร ภายใต้แนวคิด Sync The world โดยนำเสนอโซลูชันการให้บริการด้านโลจิสติกส์ครบวงจรอย่างมืออาชีพ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าให้ดีที่สุด ด้วยมาตรฐานและคุณภาพการให้บริการที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัยและตรงต่อเวลา เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน” นันท์มนัส กล่าว

           ด้านบทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ได้ประเมินราคาเหมาะสมของราคาหุ้น SINO อยู่ที่ 1.95 – 2.30 บาทต่อหุ้น สะท้อนถึงพื้นฐานการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่ง ตลอดจนการดำเนินกลยุทธ์สร้างการเติบโตจากแผนขยายธุรกิจ Sea Freight ร่วมกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน เพื่อรองรับกิจกรรมการผลิตของฐานลูกค้าเดิม การขยายตู้บรรจุของเหลว ISO Tank และการขยายพื้นที่รับฝากตู้สินค้าคอนเทนเนอร์ ที่จะช่วยส่งเสริมการให้บริการขนส่งสินค้าแบบครบวงจรได้อย่างมีประสิทธิภาพ