พรินซิเพิล เจาะลึกโอกาสลงทุนช่วงครึ่งปีหลัง ชูธีมโกลบอล เน้นหุ้นคุณภาพและตราสารหนี้คุณภาพ

174

บลจ. พรินซิเพิล เจาะลึกโอกาสการลงทุนครึ่งปีหลัง 2023 จับตาเฟดมีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 1 – 2 ครั้งและความเสี่ยงเกิดเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ สูงถึง 67% ชี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีโอกาสปรับฐานจาก Valuation ค่อนข้างแพง แนะปรับกลยุทธ์ลงทุนเน้น “หุ้นคุณภาพ” และ “ตราสารหนี้คุณภาพทั่วโลก” มองตลาดหุ้นเวียดนามกลับมาน่าสนใจ หลังจีดีพีไตรมาส 2/2566ฟื้นตัวมีโอกาสที่ภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ชู 4 กองทุนเปิด “PRINCIPAL GFIXED – PRINCIPAL GESG – PRINCIPAL GQE – PRINCIPAL VNEQ” รองรับการลงทุน  

ศุภกร ตุลยธัญ, CFA ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัดเปิดเผยว่า กลยุทธ์การลงทุนในครึ่งปีหลัง 2566 มีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม คือการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) โดยคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 1 – 2 ครั้ง ซึ่งเป็นการปรับขึ้นที่รวดเร็วและแรงที่สุดนับจากปี 2523 หรือในรอบกว่า 40 ปี เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของสหรัฐฯ ยังอยู่ในระดับสูง โดยสถิติในอดีตเมื่อเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบรุนแรง ส่วนใหญ่นำมาสู่การเกิดวิกฤตเศรษฐกิจหรือภาวะเศรษฐกิจถดถอย และจากเครื่องมือชี้วัด ณ ปัจจุบัน มีโอกาสถึง 67% ที่สหรัฐฯ จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเกิดขึ้นในไตรมาส 4/2566 ถึงไตรมาส1/2567 ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เกิดการปรับฐาน

ปัจจุบัน Valuation หรือมูลค่าหุ้นสหรัฐฯ ถือว่าค่อนข้างแพง โดยนับจากต้นปีนี้ถึงสิ้นเดือนมิถุนายน ดัชนี S&P500 ปรับขึ้นมาแล้ว 15.9% คิดเป็น P/E Ratio ประมาณ 19 เท่า และ และดัชนี Nasdaq composite ปรับขึ้นแล้วกว่า 31.7% คิดเป็น P/E Ratio ประมาณ 32 เท่า แต่เป็นการปรับขึ้นแบบกระจุกตัวในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ (Mega Tech) เพียงไม่กี่บริษัท จากความกังวลต่อภาคธนาคารในสหรัฐฯ รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจทั่วโลกที่มีแนวโน้มค่อยๆ ชะลอตัวลงอย่างช้าๆ และความคาดหวังการหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ในปีนี้ ทำให้นักลงทุนเข้าลงทุนในกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่มีกำไรแล้ว ทั้งนี้กลุ่มหุ้นดังกล่าวมีความเสี่ยงที่ราคาหุ้นจะปรับฐานได้ หากกลุ่มหุ้นดังกล่าวไม่สามารถสร้างผลกำไรในระดับสูงได้ตามที่นักลงทุนคาดหวัง ดังนั้นจึงแนะนำปรับกลยุทธ์เน้นลงทุนใน “หุ้นคุณภาพ” ซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีธุรกิจมั่นคงและผลประกอบการแข็งแกร่ง

ส่วนสินทรัพย์ประเภท “ตราสารหนี้ทั่วโลก” มีความน่าสนใจเพิ่มขึ้น เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปีในปัจจุบันปรับขึ้นสูงกว่า 4% เป็นครั้งแรกนับจากเดือนพฤศจิกายน 2565 จากเดิมที่ลงไปแตะระดับ 3.3% และยังสูงกว่าอัตราเงินปันผลของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ระดับ 2.5% ทั้งนี้ในตราสารหนี้ทั่วโลก แนะนำลงทุน Investment Grade เนื่องจากมีอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรในระดับที่น่าสนใจประมาณ 5.6% และมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแรง มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังที่เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอน ส่วน “ตราสารหนี้ไทย” ปัจจุบันมีมุมมอง Neutral หรือคงน้ำหนักการลงทุน โดยทั่วไปพันธบัตรรัฐบาลไทยจะเคลื่อนไหวตามพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ดังนั้นในระยะสั้นยังมีความผันผวนจากการที่เฟดมีแนวโน้มขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1-2 ครั้งในปีนี้ขณะที่สินทรัพย์อื่นๆ ได้แก่ “กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน” ถือว่าน่าสนใจลงทุน เนื่องจากมีผลประกอบการค่อนข้างมั่นคงและเติบโตสม่ำเสมอ ส่วน “REIT” ควรเพิ่มความระมัดระวังการลงทุนโดยเฉพาะกลุ่มออฟฟิศและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์(Commercial Real Estate) ที่มีค่าเช่าลดลง และ “ทองคำ” ยังมีโอกาสผันผวนจากการที่เฟดมีแนวโน้มขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 1-2 ครั้งในปีนี้ 

ทั้งนี้ บลจ. พรินซิเพิล แนะนำ 4 กองทุนเปิดที่เหมาะกับการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังปีนี้ ได้แก่1) กองทุนเปิดพรินซิเพิล โกลบอล ฟิกซ์ อินคัม หรือ Principal Global Fixed Income Fund(PRINCIPAL GFIXEDที่มีนโยบายลงทุนใน PIMCO GIS Income Fund เป็นกองทุนหลัก ลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลกทั้งพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ภาคเอกชน โดยกองทุนดังกล่าวได้รับมอร์นิ่งสตาร์ระดับ 5 ดาว 2) กองทุนเปิดพรินซิเพิล โกลบอล อิควิตี้ ESG หรือ Principal Global Equity ESG Fund (PRINCIPAL GESGที่มีนโยบายลงทุนใน Schroder ISF Global Sustainable Growth Fund เป็นกองทุนหลัก โดยลงทุนในหุ้นคุณภาพทั่วโลก เน้นบริษัทที่เติบโตอย่างยั่งยืน ให้ความสำคัญกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย รวมถึงได้รับมอร์นิ่งสตาร์ระดับ 5ดาว 3) กองทุนเปิดพรินซิเพิล โกลบอล อิควิตี้ หรือ Principal Global Equity Fund(PRINCIPAL GQEกองทุนใหม่ของบลจ.พรินซิเพิล มีนโยบายลงทุนใน Fundsmith SICAV-Fundsmith Equity Fund เป็นกองทุนหลัก เน้นลงทุนหุ้นคุณภาพชั้นนำระดับโลกและมีกำไรเติบโตอย่างสม่ำเสมอ หุ้นในพอร์ตลงทุนมีผลประกอบการ (กำไร) เป็นบวกทั้งหมด โดยได้รับมอร์นิ่งสตาร์ระดับ 5 ดาว และ 4) กองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ หรือ Principal Vietnam Equity Fund (PRINCIPAL VNEQที่ บลจ. พรินซิเพิล เป็นผู้บริหารกองทุนโดยตรงในหุ้นเวียดนามขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพดี ซึ่งปัจจุบันเป็นโอกาสลงทุนหลังจากตลาดหุ้นเวียดนามเริ่มฟื้นตัวจากการปรับฐานปีที่ผ่านมา และกองทุนดังกล่าวได้รับมอร์นิ่งสตาร์ระดับ 5 ดาว

ธเนศ เลิศเพชรพันธ์ Investment Strategist บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด กล่าวว่า ตั้งแต่ปลายเดือนเมษายน 2566 ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวดีขึ้นหลังจากที่ปรับฐานในปีที่ผ่านมา โดยนักลงทุนรายย่อยซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 80% ของปริมาณการซื้อขายเริ่มกลับเข้ามาลงทุนอีกครั้ง ขณะที่อัตราจีดีพีไตรมาส 2/2566 เติบโต 4.14% สูงกว่าไตรมาส 1/2566 ที่เติบโต 3.3% ปัจจัยหลักมาจากภาคการบริการ การบริโภคภายในประเทศ การท่องเที่ยวที่ยังแข็งแกร่งและการส่งออกบางกลุ่มที่เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัว เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น รวมถึงรัฐบาลเวียดนามออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ อาทิ การลดภาษีมูลค่าเพิ่มเหลือ 8% จากเดิม 10% มีผลตั้งแต่ครึ่งปีหลังของปีนี้, ปรับลดภาษีรถยนต์นั่งส่วนบุคคล, ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายโดยธนาคารกลางเวียดนาม (SVB), มาตรการ DECREE08 ที่อนุญาตให้บริษัทขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นกู้เพื่อขยายระยะเวลาชำระหนี้ได้ ฯลฯ อย่างไรก็ตามคาดว่าจะเห็นการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมอีก เนื่องจากรัฐบาลเวียดนามมีเป้าหมายผลักดันจีดีพีเติบโต 6 – 6.5% ในปีนี้

ปัจจุบันตลาดหุ้นเวียดนามถือว่าน่าสนใจต่อการลงทุนเนื่องจาก Valuation ค่อนข้างต่ำ อยู่ในระดับต่ำกว่า 1 Standard Deviation (-1 SD) ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย ขณะที่กำไรของตลาดหุ้นเวียดนามในปีนี้คาดว่าจะเติบโต 14% เป็นอันดับ 2 ในเอเชียรองจากตลาดหุ้นอินเดีย ประกอบกับตลาดเริ่มคลายความกังวลเกี่ยวกับการออกหุ้นกู้ชุดใหม่เพื่อนำไปชำระหนี้หุ้นกู้เดิม เนื่องจากธนาคารกลางเวียดนามมีนโยบายผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มขึ้น จึงแนะนำลงทุนในกองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ ฟันด์ที่ได้รับมอร์นิ่งสตาร์ระดับ 5 ดาว เน้นกระจายการลงทุนในหุ้นคุณภาพด้วยกลยุทธ์เลือกหุ้นเป็นรายตัว พร้อมการวิเคราะห์เศรษฐกิจการลงทุนจริงโดยการลงพื้นที่ประเทศเวียดนามล่าสุดเพื่อสำรวจเศรษฐกิจและเยี่ยมชมกิจการที่กองทุนได้เข้าลงทุน พบว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในระดับกลาง-ล่างเริ่มฟื้นตัว หลังจากปรับลดอัตราดอกเบี้ย ส่วนธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อมีการปรับปรุงเลย์เอาต์และตกแต่งให้ทันสมัยยิ่งขึ้น  

อาทิตย์ ทองเจริญ Head of Thailand Business, Schroder Investment Management (Singapore) Ltd.กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลกครึ่งปีหลังยังต้องติดตามปัจจัย “เงินเฟ้อ” ซึ่งอาจไม่ได้ปรับลดลงมากตามที่คาดไว้ เนื่องจากมีแนวโน้มที่ธนาคารกลางประเทศต่างๆ จะคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงต่อไปอีกระยะหนึ่ง และปัจจัย “ภูมิรัฐศาสตร์” ได้แก่ เหตุการณ์รัสเซีย – ยูเครน และสหรัฐฯ – จีน อย่างไรก็ตามการลงทุนใน “หุ้นยั่งยืน” มีโอกาสชนะความผันผวนของตลาดและสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว โดยกองทุนเปิดพรินซิเพิล โกลบอล อิควิตี้ ESG ที่มีนโยบายลงทุนใน Schroder ISF Global Sustainable Growth Fund เป็นกองทุนหลัก ซึ่งจะเข้าลงทุนใน “หุ้นคุณภาพ” และ “ยั่งยืน” ทั่วโลก จำนวน 30 – 50 บริษัท โดยปัจจุบันเข้าลงทุนในหุ้นประมาณ 43 บริษัท กองทุนดังกล่าวมีแนวทางคัดเลือกหุ้นที่ลงทุนมากกว่าการพิจารณา ESG โดยคำนึงถึงการให้ความสำคัญกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้ง 7 กลุ่มด้วย ได้แก่ (1) การดูแลสิ่งแวดล้อม (2) ดูแลพนักงาน (3) ดูแลลูกค้า (4) การปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ต่างๆ (5) ดูแลซัพพลายเออร์ (6) ดูแลสังคมและชุมชน และ (7) ดูแลผู้ถือหุ้น

ขณะเดียวกัน การลงทุนจะแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 Idea Generation คัดเลือกบริษัทที่มีคุณภาพและยั่งยืนจากทั่วโลกให้เหลือ 500 บริษัท ขั้นตอนที่ 2 Sustainabilityโดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้ง 7 กลุ่มดังกล่าวเพื่อคัดเลือกให้เหลือ 100 บริษัทที่เป็น Great Company ขั้นตอนที่ 3 Investability คัดเลือกจาก 100 บริษัท เหลือ 30 – 50 บริษัท โดยพิจารณาจากแนวโน้มธุรกิจและราคาหุ้นที่ยังมีโอกาสปรับขึ้นได้ และขั้นตอนที่ 4 Active Ownership ทางกองทุนฯ ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมตัดสินใจของบริษัทที่เข้าลงทุน เช่น การออกเสียงประชุมผู้ถือหุ้น เป็นต้น โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ลงทุนในปัจจุบัน เช่น หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค, การเงิน, เฮลท์แคร์, อุตสาหกรรม เป็นต้น ซึ่งให้ผลตอบแทนชนะดัชนีชี้วัดตลอด 7ปีที่ผ่านมา

Hugo Cardale – Sales Director and Partner, Fundsmith LLP. กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน การลงทุนในบริษัทคุณภาพชั้นนำขนาดใหญ่ทั่วโลกที่มีธุรกิจและรายได้มั่นคงจะมีโอกาสเอาชนะความผันผวนของตลาดได้ โดยแนะนำกองทุน Principal Global Quality Equity Fund (PRINCIPAL GQE) ที่มีนโยบายลงทุนใน Fundsmith SICAV-Fundsmith Equity Fund ซึ่งได้รับมอร์นิ่งสตาร์ระดับ 5 ดาว เป็นกองทุนหลักเพียงกองทุนเดียว บริหารจัดการโดย Terry Smith ผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์ด้านการลงทุนกว่า 40 ปีและทีมนักวิเคราะห์คุณภาพ ภายใต้การดำเนินงานของ Fundsmith LLP บริษัทจัดการทรัพย์สินชั้นนำในอังกฤษ ที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการรวม 3.5 หมื่นล้านปอนด์ (ประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท)  

Fundsmith SICAV-Fundsmith Equity Fund ยึดปรัชญาการลงทุน 3 ข้อ ได้แก่ (1)Only invest in good companies ลงทุนในบริษัทที่ดีและมีคุณภาพเท่านั้น โดยมีผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ต้องใช้อย่างสม่ำเสมอ สามารถสร้างกระแสเงินสดอย่างต่อเนื่อง หรือเป็นธุรกิจที่หาเทคโนโลยีอื่นมาทดแทนได้ยาก เช่น Microsoft, LVMH เป็นต้น (2) Don’t over pay ไม่ลงทุนในหุ้นที่ราคาสูงเกินปัจจัยพื้นฐาน (3) Do nothing เน้นลงทุนระยะยาวหากปัจจัยพื้นฐานของบริษัทไม่เปลี่ยนแปลง จากกลยุทธ์ทั้งสามข้อทำให้กองทุนสร้างผลการดำเนินงานระยะยาวโดดเด่นอย่างต่อเนื่อง

 สำหรับนักลงทุนที่สนใจติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนหรือสอบถามรายละเอียดกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) และผู้สนับสนุนการขายฯ หรือบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด โทร. 02 686 9500 www.principal.th ท่านสามารถเปิดบัญชีและทำรายการผ่าน Principal TH Mobile App ดาวน์โหลดได้ที่ https://www.principal.th/th/principalTH.html

คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า (กองทุน) เงื่อนไข ผลตอบแทน และ ความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน / กองทุน PRINCIPAL GESG และ PRINCIPAL GQE ลงทุนกระจุกตัวในประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย / กองทุน PRINCIPAL VNEQ ลงทุนกระจุกตัวในประเทศเวียดนาม ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณากระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย /  PRINCIPAL GESG  กองทุนรวมนี้มิได้อยู่ภายใต้ข้อกําหนดว่าด้วยการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน การบริหารจัดการและการจัดทํารายงานของกองทุนรวม เช่นเดียวกับ SRI Fund / บริษัทจัดการใช้สัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อเป็นเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนของกองทุน (Hedging) ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน / กองทุนมีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ กองทุนอาจมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไร จากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าทุนเริ่มแรกได้ / ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลในหนังสือชี้ชวนให้เข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุน / ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต /Copyright @ 2023 บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสริช์ ประเทศไทย สงวนลิขสิทธิ ข้อมูลที่ประกอบในเอกสารนี้ :  (1) เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทมอร์นิ่งสตาร์ และ/หรือ ผู้ให้บริการข้อมูล  / (2) บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการทำซ้ำ หรือเผยแพร่  / (3) บริษัทขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่รับผิดชอบต่อความถูกต้อง ครบถ้วน และความเสียหายต่างๆ ที่เกิดขึ้นทุกกรณีจากการนำข้อมูลไปใช้อ้างอิง ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต