TPL หุ้น High Growth เคาะราคาไอพีโอ 3.30 บ./หุ้น จองซื้อวันสุดท้าย 26 มิ.ย.นี้

302

บมจ.ไทยพาร์เซิล (TPL) เคาะราคาขายหุ้นไอพีโอหุ้นละ 3.30 บาท เตรียมเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 22-23,26 มิ.ย.66 เข้าเทรดวันที่ 30 มิ.ย.นี้ บ.ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ ที่ปรึกษาทางการเงินและ บล.คิงส์ฟอร์ด ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ระบุเป็นราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐาน มั่นใจนักลงทุนตอบรับดีเยี่ยม ชูจุดเด่นผู้ให้บริการโลจิสติกส์ที่แตกต่าง โดยเฉพาะกลุ่มสินค้า Overweight-Oversize-Odd size และกระจายพอร์ตทุกธุรกิจเป็นสามกลุ่ม B2B B2C C2C เพื่อบริหารความเสี่ยงทางธุรกิจ ฟากซีอีโอ “ภัทรลาภ ทวีวงศ์ ณ อยุธยา” มั่นใจหลังเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ mai ช่วยเพิ่มศักยภาพให้บริการ และประสิทธิภาพบริหารจัดการต้นทุน หนุนความสามารถทำกำไร ผลักดันอนาคตเติบโตแบบ High Growth พร้อมก้าวขึ้นสู่ผู้ให้บริการจัดส่งสินค้าขนาดใหญ่ น้ำหนักมาก หลากรูปทรงด้วยระบบ “Green logistics” 

               วรนันท์ ถาวรนันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บริษัท ไทยพาร์เซิล จำกัด (มหาชน) หรือ TPL  เปิดเผยว่าได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) ในราคาหุ้นละ3.30 บาท โดยจะเปิดให้จองซื้อหุ้นระหว่างวันที่ 22-23 และ 26 มิถุนายน 2566 และคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้ในวันที่ 30 มิถุนายน 2566 โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า “TPL” หมวดธุรกิจบริการ

              ทั้งนี้จำนวนหุ้นที่เสนอขายไม่เกิน 120 ล้านหุ้นคิดเป็น 22.90% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท โดยมีผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายอีก 3 แห่ง ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด (มหาชน) , บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด  และบริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด

              “การกำหนดราคาไอพีโอที่ระดับ 3.30 บาทต่อหุ้น ถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสมและสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน ซึ่ง TPL เป็นหุ้นโลจิสติกส์ที่มีความน่าสนใจในการลงทุนเป็นอย่างมากจากความสามารถในการแข่งขันและมีศักยภาพที่จะเติบโตในอนาคต รวมถึงผู้บริหารมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจและมีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน” 

              วรชาติ ทวยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัท ไทยพาร์เซิล จำกัด (มหาชน) หรือ TPL กล่าวว่า หุ้น TPL เป็นหุ้นโลจิสติกส์ที่มีความแตกต่างจากผู้ประกอบการทั่วไป โดยได้จัดพอร์ตลูกค้าออกเป็นสามกลุ่มคือประเภท B2B B2C และ C2C เพื่อบริหารความเสี่ยงทางธุรกิจ  และที่โดดเด่นคือมีบริการจัดส่งสินค้าทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่โดยเฉพาะของที่มีน้ำหนักมาก (Overweight) หรือของที่มีขนาดใหญ่ (Oversize) หรือมีรูปแบบบรรจุภัณฑ์ที่ไม่เป็นมาตรฐานทั่วไป (Odd size) ปัจจุบันบริษัทให้บริการจัดส่งสินค้าและสิ่งของประมาณ 350,000 – 600,000 ชิ้นต่อเดือน และสามารถให้บริการแก่กลุ่มลูกค้าทั้งที่เป็นภาคธุรกิจและรายย่อย โดยมีจุดให้บริการ 129 แห่งทั่วประเทศทั้งในรูปแบบสาขาของบริษัทและแฟรนไชส์ของบริษัท

              “บริษัทมีแผนที่จะลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในการให้บริการอย่างต่อเนื่อง ทั้งการลงทุนสร้างศูนย์คัดแยกและกระจายสินค้าระดับภูมิภาค (Regional Hub) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการคัดแยกและกระจายสินค้า, การเพิ่มจุดให้บริการ (Drop Point) แก่ลูกค้า เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าในการใช้บริการ และการลงทุนในยานพาหนะทั้งรถบรรทุก 10 ล้อ และ 6 ล้อ ซึ่งใช้สำหรับการขนส่งในเส้นทางระหว่างภูมิภาค (Line Haul) เป็นหลัก และรถกระบะ 4 ล้อ ซึ่งใช้สำหรับการกระจายสินค้าสู่ผู้รับปลายทาง เพื่อให้บริษัทมีกองยานพาหนะที่สามารถให้บริการได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น รวมทั้งยังมีแผนที่จะปรับกองยานพาหนะของบริษัทด้วยการนำรถบรรทุกซึ่งใช้พลังงานไฟฟ้ามาใช้ภายในปี 2566 โดยเริ่มจากเส้นทางในเขตภาคกลางและภาคตะวันออก” 

              ภัทรลาภ ทวีวงศ์ ณ อยุธยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยพาร์เซิล จำกัด (มหาชน) หรือ TPL กล่าวว่าจำนวนเงินที่จะได้รับจากการระดมทุนครั้งนี้จะอยู่ที่ประมาณ 396ล้านบาท ซึ่งวัตถุประสงค์การใช้เงินลงทุนประกอบด้วยการนำเงินไปใช้ซื้อที่ดินและก่อสร้างศูนย์กระจายสินค้าและ/หรือจุดให้บริการ ซื้อยานพาหนะ สถานีชาร์จไฟและอุปกรณ์ต่างๆ ขณะเดียวกันจะมีการลงทุนในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจของบริษัท รวมถึงชำระหนี้คืนแก่สถาบันการเงิน โดยมีระยะเวลาการใช้เงินภายในปี 2566-2567

              “บริษัทฯมั่นใจว่า ภายหลังจากการระดมทุนในครั้งนี้ จะทำให้บริษัทฯเพิ่มศักยภาพในการทำธุรกิจให้บริการจัดส่งสินค้าได้ครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น รวมทั้งมีความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงิน และเป็นที่ยอมรับของคู่ค้า ขณะเดียวกันทำให้บริษัทฯมีต้นทุนในการดำเนินธุรกิจที่ลดลง สนับสนุนความสามารถในการทำกำไรสูงขึ้น ผลักดันการเติบโตอย่างก้าวกระโดดพร้อมที่จะก้าวขึ้นสู่ผู้ให้บริการจัดส่งสินค้าขนาดใหญ่หลากหลายรูปทรงด้วยระบบ “Green logistics” รวมถึงมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นได้ในอนาคต” ภัทรลาภ กล่าว