“ซากะ-นางาซากิ” เปิดเมืองชวนนักท่องเที่ยวไทยปักหมุด 13 จุดเช็คอินเส้นทางใหม่ในภูมิภาคคิวชู

1264

เมื่อสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกเริ่มคลี่คลาย ก็ได้เวลาของนักท่องเที่ยวที่จะแพ็กกระเป๋าออกเดินทางไปต่างแดนให้หายคิดถึงหลังอัดอั้นมานานร่วม 3 ปี และแน่นอนสำหรับคนไทย “ญี่ปุ่น” ยังคงเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมตลอดมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อการบินไทยกลับมาเปิดเส้นทางบินตรงสู่สนามบินฟูกุโอกะอีกครั้ง ไม่แต่ฝั่งไทยจะคึกคัก แต่ฝั่งญี่ปุ่นก็มองเห็นโอกาสในการขยายเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ๆ เช่นกัน

เพราะเกาะคิวชู ไม่ได้มีแต่เมืองฟูกุโอกะทางตอนเหนือ หรือเมืองคุมาโมโตะทางตอนใต้เท่านั้น แต่ยังมี ‘เมืองรอง’ อย่าง ซากะ และนางาซากิ ที่กำลังขึ้นแท่นเป็นว่าที่น้องใหม่มาแรงทางฝั่งทะเลตะวันตกอยู่ในขณะนี้ ด้วยจุดเด่นทั้งด้านประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยต่างชาติแล่นเรือมาทำการค้าจนไปถึงช็อตฟิลสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง จุดเด่นทางธรรมชาติที่สวยงามทั้งทางทะเลและยังมีแหล่งออนเซ็นที่มีชื่อเสียง จุดเด่นด้านอาหารการกินที่ขึ้นชื่อ ไม่ว่าจะเป็นอาหารทะเล เนื้อซากะ ชาเขียว ฯลฯ ตลอดจนจุดเด่นด้านวัฒนธรรม ประเพณี เทศกาลและงานอีเวนต์ต่างๆ

ล่าสุด สมาคมไทยบริการท่องเที่ยว หรือ TTAA (Thai Travel Agents Association) ซึ่งทำตลาดคนไทยไปเที่ยวต่างประเทศ ได้รับเชิญจากหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวของเมืองซากะและเมืองนางาซากิ จัดกิจกรรมTTAA Fam Trip Saga & Nagasaki นำสมาชิกสมาคมซึ่งเป็นผู้ประกอบการนำเที่ยวหรือบริษัททัวร์กว่า 50 ราย ไปร่วมสำรวจเส้นทางท่องเที่ยวต่างๆ ในสองเมืองเก่าอายุหลายร้อยปี แต่ถือเป็นสองเมืองน้องใหม่ในตลาดท่องเที่ยวสำหรับคนไทย เพื่อออกแบบโปรแกรมทัวร์ที่เหมาะสมและเป็นทางเลือกใหม่ๆ ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสเสน่ห์อันหลากหลายที่ซ่อนตัวอยู่บนเกาะที่เคยได้ชื่อว่าเป็นประตูสู่ยุโรปของญี่ปุ่น

โทชิยูกิ ชิบาตะ – ทาคาชิ นันริ – ฮิเดทาดะ ฟูจิซาวะ

โดยเจ้าบ้านตั้งแต่ โทชิยูกิ ชิบาตะ รองผู้อำนวยการฝ่ายตลาดต่างประเทศ องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคคิวชู (Kyushu Tourism organization) ทาคาชิ นันริ รองผู้ว่าราชการจังหวัดซากะ และ ฮิเดทาดะ ฟูจิซาวะ ผู้อำนวยการฝ่ายตลาดต่างประเทศ สมาพันธ์การท่องเที่ยวจังหวัดนางาซากิ (Nagasaki Prefecture Tourism Association) ได้ให้การต้อนรับทีม TTAA ด้วยการจัดเต็มโปรแกรมไฮไลต์ต่างๆ ซึ่งทั้งสองเมืองต่างตั้งเป้าว่า จากสถิติที่คนไทยเคยเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติอันดับ 5-6 นั้น เมื่อสายการบินต่างๆ รวมถึงผู้ประกอบการในท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ร้านอาหาร และร้านค้าต่างๆ กลับมาเปิดให้บริการเต็มรูปแบบแล้ว ทั้งซากะและนางาซากิจะได้มีโอกาสต้อนรับนักท่องเที่ยวคนไทยในสถิติที่ดีขึ้นตามลำดับ

และนี่คือ 13 จุดเช็คอินที่นักท่องเที่ยวคนไทยเตรียมตามไปฟินกันได้เลย

1.เกาะเดะจิมะ (Dejima)

เกาะเทียมรูปใบพัด สร้างสมัยโชกุนโทคุงาวะ แล้วเสร็จเมื่อปี 1636 ได้ชื่อว่าเป็นประตูสู่ยุโรปของญี่ปุ่นในสมัยที่กลุ่มพ่อค้าและมิชชันนารีชาวโปรตุเกสเข้ามาทำการค้าขายและเผยแพร่ศาสนาคริสต์ หลังผ่านยุคสมัยของสงครามการค้าและสงครามรบ ในปี 1951 จึงได้มีการบูรณะปรับปรุงบางส่วนที่เหลืออยู่ จนในปัจจุบันมีอาคารอนุรักษ์รวม 16 หลัง และกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวขนาดเล็กใจกลางเมืองนางาซากิ

2.สวนดอกไม้ Glover Garden

สวนดอกไม้กึ่งพิพิธภัณฑ์ อายุกว่า 120 ปี ภายในมีสวนแบบตะวันตกและอาคารในยุค 1900 สมัยที่ญี่ปุ่นเริ่มเปิดประเทศใหม่ๆ โดยไฮไลต์คือบ้านสองชั้นซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของพ่อค้าชาวอังกฤษชื่อ โทมัส โกลเวอร์ ตั้งอยู่บนเนินเขาที่สามารถมองเห็นทัศนียภาพเมืองนางาซากิได้อย่างเต็มตา

3.พิพิธภัณฑ์ระเบิดปรมาณูนางาซากิ (Nagasaki Atomic Bomb Musuem)

ไม่มีใครอยากจดจำโศกนาฏกรรมระดับมวลมนุษยชาติ หากแต่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เกิดขึ้นเพื่อบอกให้โลกรู้ว่า สงครามและอาวุธนิวเคลียร์คือสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นด้วยประการทั้งปวง นาฬิกาที่เข็มค้างเติ่งที่เวลา 11.02 น. ของวันที่ 9 สิงหาคม 1945 คือซากปรักหักพังชิ้นแรกก่อนจะนำไปสู่นิทรรศการด้านใน ซึ่งมีทั้งเอกสาร ข้าวของต่างๆ ที่เสียหายย่อยยับจากระเบิดปรมาณู คลิปวิดีโอนาทีประวัติศาสตร์ และภาพการฟื้นฟูนางาซากิให้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง ถัดจากพิพิธภัณฑ์คือจุดศูนย์กลางที่ระเบิดปรมาณูถล่มเมือง มีการปรับปรุงเป็นลานกว้างรูปวงกลมโดยมีเสาหินสีดำตั้งอยู่เป็นสัญลักษณ์ ด้านล่างเป็นกล่องสีดำบรรจุป้ายชื่อผู้เสียชีวิตในรูปแบบไมโครฟิล์ม

4.สวนสันติภาพนางาซากิ (Nagasaki Peace Park)

สวนสาธารณะที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่สันติภาพของโลก ไฮไลต์คือรูปปั้นอนุสรณ์สันติภาพ เป็นหุ่นสัมฤทธิ์สีฟ้า สูง 9.7 เมตร น้ำหนักประมาณ 30 ตัน มือขวาชี้ขึ้นฟ้า สื่อความหมายอันตรายของระเบิดปรมาณูที่มาจากท้องฟ้า มือซ้ายยื่นราบกับพื้นสื่อความหมายถึงสันติภาพ ส่วนดวงตาที่ปิดอยู่สื่อความหมายการอุทิศแด่ดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้ โดยในวันปรมาณูของทุกปีจะมีการจัดงานรำลึกสันติภาพที่สวนแห่งนี้ นอกจากนี้ยังมีบ่อน้ำพุแห่งสันติภาพ และรูปปั้นแห่งความหวังอีกหลายสิบตัวเพื่อรำลึกถึงสันติภาพอีกด้วย

5.พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำคุจูคุชิมะ (Kujukushima Aquarium Umi Kirara)

เป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์โลกใต้ท้องทะเล โดยเฉพาะภายในอ่าวคุจูคุชิมะ โดยมี Jellyfish Symphony Dome เป็นตู้ปลากลางแจ้งที่หายากและใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น จัดแสดงสัตว์น้ำประมาณ 13,000 ตัว จาก 120 สายพันธุ์ นอกจากนี้ ยังมีศูนย์วิจัยและเพาะพันธุ์แมงกะพรุนลึกลับมากกว่า 100 สายพันธุ์ จนได้ชื่อว่าเป็นนิทรรศการแมงกะพรุนที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ตลอดจนมีการแสดงของปลาโลมาแสนรู้ และการจัดเวิร์คช็อปให้เด็กๆ ได้ร่วมทำกิจกรรมต่างๆ อีกมากมาย

6.ล่องเรือชมเกาะคุจูคุชิมะ

ภายในอ่าวคุจูคุชิมะ มีเกาะใหญ่น้อยสลับซับซ้อนเรียงรายกันถึง 208 เกาะ จนรวมเรียกว่าเกาะคุจูคุชิมะ และด้วยทัศนียภาพอันงดงามแปลกตานี้ ทำให้ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นส่วนหนึ่งของ ‘สมาคมอ่าวที่สวยที่สุดในโลก’ โดยจะมีเรือสำราญขนาดเล็ก 2 ลำคือ เรือเพิร์ลควีน และเรือโจรสลัดคุจูคุชิมะ มิไร สสับกันให้บริการล่องเรือชมเกาะ โดยจะใช้เวลาประมาณ 50 นาที

7.สวนสนุกเฮาส์เทนบอส (Huis Ten Bosch)

สวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคคิวชู ที่จำลองบรรยากาศหมู่บ้านในฮอลแลนด์มาไว้ที่นี่ จนเหมือนกับยกมาทั้งเมือง ตั้งแต่กลุ่มอาคารต่างๆ การตกแต่งร้านค้า ร้านอาหาร กังหันขนาดใหญ่ สวนดอกไม้หลากสีสัน และคลองที่ไหลผ่านโซนต่างๆ ที่สำคัญคือมีการประดับไฟถึง 1,300 ดวง จนเรียกได้ว่าเป็นเมืองไฟขนาดใหญ่ โดยมีโชว์ประจำวัน ได้แก่ น้ำพุ Waterfall of Light และโชว์พิเศษในอีเวนต์ต่างๆ ตลอดทั้งปี เช่น คริสต์มาสโชว์ หรือปาร์ตี้สวมหน้ากาก เป็นต้น

8.ศาลเจ้ายูโทคุอินาริ (Yutoku Inari Shrine)

เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ประจำตระกูลนาเบะชิมะ ผู้ปกครองเมืองซากะในสมัยเอโดะ นับถึงวันนี้ก็มีอายุกว่า 330 ปีแล้ว ได้ชื่อว่าเป็นศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์และมีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคคิวชู ประกอบกับบริเวณที่ตั้งของศาลเจ้ายังเป็นจุดชมวิวที่สวยงาม ไม่ว่าจะเป็นใบไม้เปลี่ยนสีตามฤดูกาล หรือสะพานไม้สีแดงคู่ไปกับธารน้ำเล็กๆ จึงทำให้มีผู้มาสักการะขอพรไม่ขาดสายและกลายเป็นอีกหนึ่งจุดเช็คอินห้ามพลาด สำหรับคนไทยอาจคุ้นตาศาลเจ้าแห่งนี้กันมาแล้วเพราะเป็นหนึ่งในสถานที่ถ่ายทำละครโทรทัศน์เรื่อง ‘กลกิโมโน’ นั่นเอง

9.ศาลเจ้าโออุโกะ (Oouo Shrine)

มีเรื่องเล่ากันมาว่าเมื่อราว 300 ปีที่แล้ว เจ้าเมืองแห่งนี้ถูกชาวเมืองนำไปทิ้งบนเกาะที่ห่างไกลจากฝั่ง แต่เมื่อได้รับการช่วยชีวิตจากปลาขนาดใหญ่ เจ้าเมืองก็ปรับตัวเป็นคนใหม่และได้สร้างศาลเจ้าโอยุ เพื่อให้เป็นที่สถิตของเทพเจ้าแห่งท้องทะเล และยังสร้างประตูโทริอิใต้น้ำจากฝั่งอะริอาเกะลงไปในทะเลสาบ รวม 4 ประตูด้วยกัน ผู้คนจึงนิยมมาขอพรเรื่องความรักและการขอโอกาสดีๆ ในชีวิต

10.ต้นไม้ศักด์สิทธิ์ในศาลเจ้าทาเคโอะ (Takeo’s Okusu Tree)

ต้นการบูรยักษ์ อายุกว่า 3,000 ปี ยืนต้นอยู่ในป่าด้านหลังศาลเจ้าทาเคโอะในเมืองซากะ ถือเป็นต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 7 ของญี่ปุ่น ด้วยความสูงประมาณ 30 เมตร เส้นรอบวงของรากด้านนอกยาว 26 เมตร และกิ่งก้านที่แผ่กว้างกว่า 30 เมตรส่วนที่เป็นโพรงที่รากต้นไม้กินพื้นที่ประมาณเกือบ 20 ตารางเมตรและมีศาลหินตั้งอยู่ข้างใน คนญี่ปุ่นนับถือเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ปัจจุบันมีการกั้นรั้วโดยรอบ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนเข้าไปใกล้ชิดตัวต้นไม้เกินไป

11.พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ปราสาทซากะ (Saga Castle History Museum)

ปราสาทไม้ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น จากการบูรณะอาคารฮอนมารุ ซึ่งเป็นปราสาทด้านในของปราสาทซากะ ตัวอาคารปูเสื่อทาทามิกว่า 700 ผืน ภายในมีการจัดแสดงงานบูรณะปราสาทแห่งนี้ รวมถึงนิทรรศการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของตระกูลซากะ และงานของบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมืองซากะด้วย  

12.พิพิธภัณฑ์บอลลูนซากะ (Saga Balloon Museum)

จากการที่เมืองซากะเป็นเจ้าภาพจัด ‘เทศกาลบอลลูนนานาชาติซากะ’ เป็นประจำในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ซึ่งนับเป็นการแข่งขันบอลลูนลมร้อนที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ที่เมืองซากะจึงมีพิพิธภัณฑ์บอลลูนแห่งแรกในญี่ปุ่นที่ผู้มาเยี่ยมชมสามารถทดลองขึ้นบอลลูนลมร้อนได้ตลอดเวลาในเครื่องจำลองการบิน และยังสามารถถ่ายรูปพาตัวเองขึ้นบอลลูนลอยไปได้ด้วย  

13.โทซุพรีเมียมเอาท์เล็ต (Tosu Premium Outlets)

สายช้อปไม่ควรพลาดแหล่งช้อปปิ้งเอาต์เล็ตครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคคิวชู โดยมีสินค้าครอบคลุมทั้งเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ รองเท้า ชุดกีฬา ของใช้ส่วนตัว ฯลฯ ตั้งแต่ระดับพรีเมียมไปจนถึงสินค้าทั่วไป มีทั้งแบรนด์เนมชั้นนำและแบรนด์ท้องถิ่นมากกว่า 150 ร้าน กระจายตัวตามโซนต่างๆ ได้แก่ North Avenue, Palm Avenue, Water Avenue และ South Avenue โดยมีซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่และฟู้ดคอร์ทให้ได้พักท้องและพักเท้า

เช็คอินกันทั่วเมืองซากะและนางาซากิแล้ว หลังกลับเข้าเมืองฟูกุโอกะ อย่าลืมไปไหว้พระขอพรที่ ศาลเจ้าดาไซฟุ (Dazaifu Tenmangu Shrine) ศาลเจ้าที่มีชื่อเสียงด้านตำนานปราชญ์และเทพเจ้าแห่งการศึกษา แล้วแวะไปเช็คอินที่ ร้านสตาร์บัค สาขาดาไซฟุ หนึ่งในร้านที่สวยงามที่สุดในโลก จากการออกแบบเป็นอุโมงค์ท่อนไม้กว่า 2,000 ชิ้น ประสานไปมาตั้งแต่หน้าร้านไปจนถึงผนังห้องและเลื้อยขึ้นไปถึงเพดาน ให้อารมณ์ญี่ปุ่นอย่างถึงที่สุด ก่อนตรงไปสนามบินฟูกุโอกะ เพื่อเดินทางกลับบ้านเราด้วยความประทับใจ