‘PRM’ ผลงานเด่น ไตรมาส3 ฟันกำไร 1,085 ลบ. บอร์ดไฟเขียวปันผลระหว่างกาล 0.09 บาท/หุ้น

90
วิริทธิ์พล จุไรสินธุ์

‘บมจ. พริมา มารีน’ หรือ (“PRM”) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2565 ทำรายได้รวม 2,149.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.35 % และมีกำไรสุทธิ 1,085.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 122.98 % สะท้อนศักยภาพพอร์ตกองเรือที่แข็งแกร่ง หลังจากปรับพอร์ตเรือให้ตรงความต้องการของลูกค้าและตลาดโลก ด้านบอร์ดฯ ไฟเขียวจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.09 บาทต่อหุ้น

                วิริทธิ์พล จุไรสินธุ์ ผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน)(“PRM”) ผู้ให้บริการขนส่งและจัดเก็บผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และปิโตรเคมีเหลวทางเรือรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินงานในไตรมาส 3/2565 บริษัทฯ สามารถสร้างการเติบโตได้ดี โดยทำรายได้รวม 2,149.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.35 % และมีกำไรสุทธิ 1,085.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 122.98%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนถึงศักยภาพการดำเนินธุรกิจ PRM ในฐานะที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมที่มีความแข็งแกร่งจากการมีพอร์ตกองเรือที่หลากหลาย ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการให้แก่ลูกค้าได้ดี

               โดยธุรกิจเรือขนส่งระหว่างประเทศมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยในไตรมาส 3/2565 มีรายได้353.7 ล้านบาท และกำไรขั้นต้น 127.4 ล้านบาท เติบโต 116.2% และ 158.05% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา  สืบเนื่องการรับรู้รายได้เต็มไตรมาสของเรือ VLCC ลำที่ 2 และการเริ่มรับรู้รายได้ของเรือ VLCC ลำที่ 3 ที่เริ่มให้บริการได้ตั้งแต่วันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งเร็วกว่ากำหนดการเดิมที่มีแผนให้บริการในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ นอกจากนี้ ความต้องการใช้เรือขนาด Aframax ในการขนส่งน้ำมันปรับสูงขึ้นในตลาดโลกอย่างต่อเนื่องจากกิจกรรมการขนส่งน้ำมันทางเรือจากตะวันออกกลางที่เพิ่มสูงขึ้น หลังจากที่กลุ่มประเทศ EU และสหราชอาณาจักร ปรับลดการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย ทำให้เรือขนาด Aframax ของบริษัทฯ ยังคงมีอัตราการใช้บริการ 100% อย่างต่อเนื่อง ภายใต้สัญญา Time Charter

               ส่วนกลุ่มธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบ (FSU) ไตรมาสนี้ ยังมีการฟี้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราการใช้บริการเรือและค่าบริการที่ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า หลังจากช่วงที่ผ่านมามีการชะลอตัวของเศรษฐกิจทำให้อุปสงค์น้ำมันปรับตัวลดลง  ประกอบกับช่วงที่ผ่านมายังมีความต้องการการกักเก็บน้ำมันเพื่อรองรับอุปสงค์ความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มช่วงฤดูหนาวในช่วงปลายปี ทำให้ในช่วงไตรมาส 3/2565กลุ่มธุรกิจ FSU มีรายได้และกำไรขั้นต้นที่ 791.9 ล้านบาท และ 367.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา46.68% และ 97.74% ตามลำดับ นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจเรือ Offshore Support หรือ ธุรกิจสนับสนุนซึ่งประกอบด้วยเรือ Crew Boat จำนวน 13 ลำ และเรือ AWB จำนวน 2 ลำ ยังมีอัตราการใช้บริการเต็ม 100% อย่างต่อเนื่อง จากปริมาณการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทยที่เพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อภาพรวมการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-กันยายน) โดยบริษัทฯ มีรายได้รวม 5,327.6 ล้านบาท เติบโต 20.47%และมีกำไรสุทธิ 1,600.2 ล้านบาท เติบโต 18.51% 

               ดังนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2565 จึงมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากกำไรสะสมที่ยังไม่ได้รับการจัดสรรสำหรับงวดผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ (สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2565) ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.09 บาทต่อหุ้น โดยบริษัทฯ จะกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 9 ธันวาคม 2565 

               ส่วนทิศทางการดำเนินงานไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ บริษัทฯ คาดว่าจะยังคงรักษาอัตราการเติบโตที่ดี หลังการให้บริการเรือ VLCC ครบทั้ง 3 ลำ ซึ่งจะสามารถรับรู้รายได้อย่างครบถ้วนในไตรมาส 4 รวมถึงธุรกิจเรือขนส่งภายในประเทศที่จะปรับตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ส่งผลให้ภาพรวมการดำเนินงานของ PRM ในปี 2565 จะเติบโตได้ตามแผน 

               “การดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 เป็นช่วงที่เราเข้าสู่ยุค Growth Mode อย่างแท้จริง ซึ่งคาดหมายว่า PRM จะสร้างผลงานการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยขีดความสามารถการให้บริการแก่ลูกค้าจากพอร์ตกองเรือที่มีความแข็งแกร่งและหลากหลาย อันจะช่วยผลักดันรายได้ให้เติบโตไปตามแผนที่วางไว้” วิริทธิ์พล กล่าว