ยูโอบี จบดีลรวมลูกค้ารายย่อยจากซิตี้กรุ๊ป พร้อมเดินหน้าสู่ Best Consumer Bank

408

หลังจากธนาคารยูโอบีประกาศซื้อกิจการธนาคารลูกค้ารายย่อยจากซิตี้กรุ๊ป หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ ซิตี้แบงก์ เมื่อวันที่ 14 มกราคมที่ผ่านมา ล่วงเวลามา 9 เดือน วันนี้ การควบรวมกิจการใน 2 จาก 4 ประเทศที่อยู่ในดิวนี้ ประกอบด้วยมาเลเซีย และไทย ก็สำเร็จเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย

โดยในประเทศไทย ธนาคารยูโอบี ได้มีการจัดทัพรับกิจการธนาคารลูกค้ารายย่อย ที่ประกอบด้วย กลุ่มลูกค้าสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกันและมีหลักประกัน ธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง และธุรกิจเงินฝากรายย่อย ด้วยการแต่งตั้ง 2 ผู้บริหาร คือ วีระอนงค์ จิระนคร ภู่ตระกูล ขึ้นเป็น Head of Retail and Brand  และ ยุทธชัย เตยะราชกุล เป็น Head of Personal Financial Services  เข้ามาดูแล

ตัน ชุน ฮิน

 ตัน ชุน ฮิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า กระบวนการเข้าซื้อกิจการธนาคารลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ปในประเทศไทยที่เสร็จสมบูรณ์แล้วนั้น ช่วยผลักดันเป้าหมายของยูโอบีในการก้าวสู่การเป็นธนาคารในประเทศไทยที่ผู้บริโภคเลือกใช้บริการ ตลอดจนสะท้อนถึงคำมั่นสัญญาของธนาคารในการยืนหยัดเคียงข้างลูกค้าชาวไทยและพันธสัญญาที่ยูโอบีให้ไว้ต่อประเทศไทย

“ธุรกิจธนาคารลูกค้ารายย่อยในประเทศไทยของซิตี้กรุ๊ป ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน จะเข้ามาช่วยเสริมกลุ่มลูกค้าของยูโอบี ประเทศไทย ที่เน้นกลุ่มลูกค้าด้านสินเชื่อที่มีหลักประกันได้อย่างลงตัว การรวมธุรกิจครั้งนี้จะเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินชั้นเยี่ยม รวมถึงเครือข่ายพันธมิตรและสาขาตลอดจนช่องทางการให้บริการที่ขยายเพิ่มขึ้นกว่าเดิม”

ตัน ชุน ฮิน กล่าวต่อว่า การนำพอร์ตลูกค้าของซิตี้คอร์ปในประเทศไทยที่มีอยู่ราว 2.4 ล้านรายเข้ามารวม ทำให้สัดส่วนสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกันของยูโอบี เพิ่มจาก 7% เป็น 21% ขณะที่สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ มีสัดส่วนกลุ่มละราว 40%  ซึ่งจะทำให้ธนาคารยูโอบี ก้าวขึ้นอยู่ในลำดับ Top 6 ของธนาคาร Retail และเป็น Top 3 ในกลุ่มบัตรเครดิตธนาคาร 

วีระอนงค์ จิระนคร ภู่ตระกูล

โดย วีระอนงค์ จิระนคร ภู่ตระกูล Head of Retail and Brand  ธนาคารยูโอบี กล่าวว่า การเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ธนาคารในการขยายธุรกิจธนาคารลูกค้ารายย่อยในภูมิภาคอาเซียน นอกจากธุรกิจหลักของธนาคารใน สิงคโปร์ หลังเสร็จสิ้นกระบวนการเข้าซื้อกิจการแล้ว คาดว่าขนาดธุรกิจธนาคารลูกค้ารายย่อยในทั้ง 4 ประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ลูกค้ารายย่อยจะเพิ่มขึ้นเป็น  5.3 ล้านคน โดยมากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นลูกค้าในประเทศไทย ก้าวขึ้นเป็น Best Consumer Bank ธนาคารที่ผู้บริโภคคิดถึง 

“การควบรวมกิจการครั้งนี้จะมีพนักงานจากซิตี้ กรุ๊ป ที่เคยดูแลงานด้านนี้ ทีมีอยู่ราว 1,800 คน เกือบทั้งหมดจะเข้ามาร่วมงานที่ยูโอบี เพื่อเดินหน้าให้บริการลูกค้าทุกเซกเมนต์แบบ Long Term ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ตรงใจ ทั้งกลุ่ม Wealth ที่มีแนวโน้มเติบโตมากในตลาดอาเซียน ด้วยจำนวนสาขาของธนาคารยูโอบี  150 สาขา และซิตี้แบงก์ 3 สาขา  รวมถึงรุกกลุ่มคนรุ่นใหม่ ด้วยแอปพลิเคชั่น TMRW by UOB  ให้บริการลูกค้าในหลากหลายช่องทางทั้งออฟไลน์และออนไลน์ เพื่อสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้าทุกกลุ่ม” 

ทั้งนี้ ยูโอบีมีแผนในการดำเนินการเสนอผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินใหม่ๆ เพื่อรองรับฐานลูกค้าที่ขยายใหญ่ขึ้น โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ยูโอบีได้ประกาศเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับแบรนด์ชั้นนำระดับภูมิภาคหลายแห่ง รวมถึงสิงคโปร์แอร์ไลน์,  ‘มิชลิน ไกด์’, Club21 และ Shopee ซึ่งถือเป็นการเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับลูกค้าในการแลกรับของรางวัล โดยลูกค้าสามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ ได้อย่างหลากหลายมากยิ่งขึ้น

ยุทธชัย เตยะราชกุล 

ด้าน ยุทธชัย เตยะราชกุล  Head of Personal Financial Services ธนาคารยูโอบีกล่าวว่า แม้จะมีการควบรวมกิจการธนาคารลูกค้ารายย่อยจากซิตี้กรุ๊ปมารวมกับธนาคารยูโอบีโดยสมบูรณ์แล้ว  เพื่อให้การบริการสามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่นไร้รอยต่อในช่วงการเปลี่ยนผ่าน ลูกค้าจากซิตี้กรุ๊ปก็จะยังคงสถานะการใช้บริการได้เหมือนเดิมต่อเนื่องไปอีกราว 1 ปี โดยลูกค้าจากซิตี้กรุ๊ปยังคงใช้หมายเลขบัญชีเดิม  บัตรใบเดิม ค่าธรรมเนียมยังคงในอัตราเดิม สิทธิพิเศษ คะแนนสะสม  ยังคงอยู่  วงเงินในบัตรยังเท่าเดิม หรือหากมีการผ่อนชำระค้างอยู่ ก็ยังคงดำเนินต่อไป แอปพลิเคชั่นก็ยังใช้แอปเดิมในการทำธุรกรรม  สาขาของซิตี้กรุ๊ปที่มีอยู่ 3 สาขา ก็ยังคงใช้บริการได้เหมือนเดิม และยังเพิ่มความสะดวกจากสาขาของยูโอบีอีก 150 สาขา  จนเมื่อการโอนย้ายเสร็จสิ้น ก็จะมีการเปลี่ยนบัตร และเปลี่ยนแอปพลิเคชั่น ซึ่งจะดำเนินการโดยไม่ให้มีผลกระทบกับลูกค้า