หลังจากธนาคารยูโอบีประกาศซื้อกิจการธนาคารลูกค้ารายย่อยจากซิตี้กรุ๊ป หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ ซิตี้แบงก์ เมื่อวันที่ 14 มกราคมที่ผ่านมา ล่วงเวลามา 9 เดือน วันนี้ การควบรวมกิจการใน 2 จาก 4 ประเทศที่อยู่ในดิวนี้ ประกอบด้วยมาเลเซีย และไทย ก็สำเร็จเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย
โดยในประเทศไทย ธนาคารยูโอบี ได้มีการจัดทัพรับกิจการธนาคารลูกค้ารายย่อย ที่ประกอบด้วย กลุ่มลูกค้าสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกันและมีหลักประกัน ธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง และธุรกิจเงินฝากรายย่อย ด้วยการแต่งตั้ง 2 ผู้บริหาร คือ วีระอนงค์ จิระนคร ภู่ตระกูล ขึ้นเป็น Head of Retail and Brand และ ยุทธชัย เตยะราชกุล เป็น Head of Personal Financial Services เข้ามาดูแล
ตัน ชุน ฮิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า กระบวนการเข้าซื้อกิจการธนาคารลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ปในประเทศไทยที่เสร็จสมบูรณ์แล้วนั้น ช่วยผลักดันเป้าหมายของยูโอบีในการก้าวสู่การเป็นธนาคารในประเทศไทยที่ผู้บริโภคเลือกใช้บริการ ตลอดจนสะท้อนถึงคำมั่นสัญญาของธนาคารในการยืนหยัดเคียงข้างลูกค้าชาวไทยและพันธสัญญาที่ยูโอบีให้ไว้ต่อประเทศไทย
“ธุรกิจธนาคารลูกค้ารายย่อยในประเทศไทยของซิตี้กรุ๊ป ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน จะเข้ามาช่วยเสริมกลุ่มลูกค้าของยูโอบี ประเทศไทย ที่เน้นกลุ่มลูกค้าด้านสินเชื่อที่มีหลักประกันได้อย่างลงตัว การรวมธุรกิจครั้งนี้จะเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินชั้นเยี่ยม รวมถึงเครือข่ายพันธมิตรและสาขาตลอดจนช่องทางการให้บริการที่ขยายเพิ่มขึ้นกว่าเดิม”
ตัน ชุน ฮิน กล่าวต่อว่า การนำพอร์ตลูกค้าของซิตี้คอร์ปในประเทศไทยที่มีอยู่ราว 2.4 ล้านรายเข้ามารวม ทำให้สัดส่วนสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกันของยูโอบี เพิ่มจาก 7% เป็น 21% ขณะที่สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ มีสัดส่วนกลุ่มละราว 40% ซึ่งจะทำให้ธนาคารยูโอบี ก้าวขึ้นอยู่ในลำดับ Top 6 ของธนาคาร Retail และเป็น Top 3 ในกลุ่มบัตรเครดิตธนาคาร
โดย วีระอนงค์ จิระนคร ภู่ตระกูล Head of Retail and Brand ธนาคารยูโอบี กล่าวว่า การเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ธนาคารในการขยายธุรกิจธนาคารลูกค้ารายย่อยในภูมิภาคอาเซียน นอกจากธุรกิจหลักของธนาคารใน สิงคโปร์ หลังเสร็จสิ้นกระบวนการเข้าซื้อกิจการแล้ว คาดว่าขนาดธุรกิจธนาคารลูกค้ารายย่อยในทั้ง 4 ประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ลูกค้ารายย่อยจะเพิ่มขึ้นเป็น 5.3 ล้านคน โดยมากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นลูกค้าในประเทศไทย ก้าวขึ้นเป็น Best Consumer Bank ธนาคารที่ผู้บริโภคคิดถึง
“การควบรวมกิจการครั้งนี้จะมีพนักงานจากซิตี้ กรุ๊ป ที่เคยดูแลงานด้านนี้ ทีมีอยู่ราว 1,800 คน เกือบทั้งหมดจะเข้ามาร่วมงานที่ยูโอบี เพื่อเดินหน้าให้บริการลูกค้าทุกเซกเมนต์แบบ Long Term ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ตรงใจ ทั้งกลุ่ม Wealth ที่มีแนวโน้มเติบโตมากในตลาดอาเซียน ด้วยจำนวนสาขาของธนาคารยูโอบี 150 สาขา และซิตี้แบงก์ 3 สาขา รวมถึงรุกกลุ่มคนรุ่นใหม่ ด้วยแอปพลิเคชั่น TMRW by UOB ให้บริการลูกค้าในหลากหลายช่องทางทั้งออฟไลน์และออนไลน์ เพื่อสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้าทุกกลุ่ม”
ทั้งนี้ ยูโอบีมีแผนในการดำเนินการเสนอผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินใหม่ๆ เพื่อรองรับฐานลูกค้าที่ขยายใหญ่ขึ้น โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ยูโอบีได้ประกาศเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับแบรนด์ชั้นนำระดับภูมิภาคหลายแห่ง รวมถึงสิงคโปร์แอร์ไลน์, ‘มิชลิน ไกด์’, Club21 และ Shopee ซึ่งถือเป็นการเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับลูกค้าในการแลกรับของรางวัล โดยลูกค้าสามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ ได้อย่างหลากหลายมากยิ่งขึ้น
ด้าน ยุทธชัย เตยะราชกุล Head of Personal Financial Services ธนาคารยูโอบีกล่าวว่า แม้จะมีการควบรวมกิจการธนาคารลูกค้ารายย่อยจากซิตี้กรุ๊ปมารวมกับธนาคารยูโอบีโดยสมบูรณ์แล้ว เพื่อให้การบริการสามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่นไร้รอยต่อในช่วงการเปลี่ยนผ่าน ลูกค้าจากซิตี้กรุ๊ปก็จะยังคงสถานะการใช้บริการได้เหมือนเดิมต่อเนื่องไปอีกราว 1 ปี โดยลูกค้าจากซิตี้กรุ๊ปยังคงใช้หมายเลขบัญชีเดิม บัตรใบเดิม ค่าธรรมเนียมยังคงในอัตราเดิม สิทธิพิเศษ คะแนนสะสม ยังคงอยู่ วงเงินในบัตรยังเท่าเดิม หรือหากมีการผ่อนชำระค้างอยู่ ก็ยังคงดำเนินต่อไป แอปพลิเคชั่นก็ยังใช้แอปเดิมในการทำธุรกรรม สาขาของซิตี้กรุ๊ปที่มีอยู่ 3 สาขา ก็ยังคงใช้บริการได้เหมือนเดิม และยังเพิ่มความสะดวกจากสาขาของยูโอบีอีก 150 สาขา จนเมื่อการโอนย้ายเสร็จสิ้น ก็จะมีการเปลี่ยนบัตร และเปลี่ยนแอปพลิเคชั่น ซึ่งจะดำเนินการโดยไม่ให้มีผลกระทบกับลูกค้า