นายศิวกร พิทยานุกุล ผู้บริหารด้านแบรนด์และการสื่อสาร บริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ตลอด 29 ปีที่ผ่านมา แบรนด์สมูท อี ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคว่าเป็นผลิตภัณฑ์เวชสำอางจากธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพสูงในการแก้ปัญหาผิว (รอยแผลเป็นและสิว) ด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ ที่คิดค้นมาเพื่อตอบสนองเรื่องความงามและสุขภาพด้านผิวพรรณที่ดีของผู้บริโภค โดยมีแพทย์ทางด้านผิวหนังเป็นที่ปรึกษาและร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์มาโดยตลอด ส่งผลให้ สมูท อี เป็นแบรนด์ที่แข็งแรงมั่นคง และครองตำแหน่งยอดขายอันดับหนึ่งในร้านขายยาทั่วประเทศมาอย่างยาวนาน
“ล่าสุด สมูท อี ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ดูแลผิว CBD (Cannabidiol) ซึ่งเป็นหนึ่งในสารพฤกษเคมีที่สกัดได้จากพืชกัญชง ที่ค้นคว้าและสกัดโดยคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยสมูท อี ถือเป็นแบรนด์เวชสำอางรายแรกของไทยที่มีการประยุกต์ใช้สารสกัดจากพืชกัญชงเพื่อการดูแลผิว ซึ่งผลการวิจัยพบว่า มีสารกลุ่มกรดไขมันโอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ สามารถช่วยแก้ปัญหาผิว ไม่ว่าจะเป็นสิว รูขุมขนกว้าง ผิวที่มีริ้วรอย เหี่ยวย่น ช่วยบำรุงผิวใช้ได้แม้ผิวบอบบางแพ้ง่าย โดยมีทั้งเซรั่มและครีม วางจำหน่ายแล้วตามร้านขายยาและช่องทางออนไลน์ รวมถึงจะมีการส่งออกไปขายในตลาด South East Asia และทั่วโลกอีกด้วย นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีผลิตภัณฑ์ใหม่ อาทิ Cica ครีมเซรั่มสำหรับบำรุงและฟื้นฟูผิวแพ้ง่ายและเป็นสิวง่าย Melatonin Sleep Lotion โลชั่นบำรุงผิวระหว่างเวลาพักผ่อนนอนหลับ และสมูท อี 2 in 1 Mask and Wash”นายศิวกร กล่าวต่อว่า ในปีนี้ สมูท อี ยังสามารถรักษายอดขายได้ดีแม้ในช่วงสถานการณ์โควิด Covid เนื่องจากแบรนด์สมูท อี มีความเป็นเวชสำอาง ไม่ใช่ Beauty ผู้บริโภคจึงมีความเชื่อมั่นว่ามีคุณภาพปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดการแพ้ ใช้แล้วเห็นผลจริง โดยแบ่งเป็นสัดส่วนยอดขายในประเทศ 80% และต่างประเทศ 20% ปัจจุบัน สมูท อี มีจำหน่ายใน 10 กว่าประเทศ สำหรับในปี 2565 บริษัทฯ มุ่งเน้นขยายตลาดไปใน South East Asia โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเป็น Global Brand พร้อมตั้งเป้าการเติบโตแบบ Challenge ที่ประมาณ 30% ในปีหน้า โดยมี 3 ปัจจัยหลักที่จะทำให้ไปถึงเป้าหมายคือ 1) จากนวัตกรรมในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ 2) ช่องทางการจำหน่ายผ่านทางออนไลน์และร้านขายยา 3) การทำการตลาดต่างประเทศนอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับช่องทางการจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อตอบรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบัน โดยลูกค้าสามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ผ่าน Lazada, Shopee, Konvy รวมถึง https://smooth-e.com/ และทางเพจ Facebook : Smooth-E Thailand พร้อมใช้กลยุทธ์ CRM เพื่อต่อยอดและรักษาฐานลูกค้าของสมูท อี ด้วยการจัดกิจกรรมฉลองครบรอบ 29 ปี มอบผลิตภัณฑ์สมูท อี เป็นของขวัญให้กับแฟนพันธุ์แท้ที่มาร่วมแชร์ประสบการณ์และบอกเล่าความประทับใจที่มีต่อผลิตภัณฑ์ และยังเปิด “Smooth E Baby Face Club Thailand” ไขทุกปัญหาเรื่องผิวโดยแพทย์ที่ปรึกษาด้านความงามและผิวพรรณของสมูท อี เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้า Gen Y และ Gen Z อีกด้วย“สำหรับภาพรวมตลาด Skin Care ในประเทศพบว่า ในแต่ละปีที่ผ่านมาตลาดความงามของไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 6-9% แต่เพราะการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้มีการชะลอตัวด้านเศรษฐกิจ ความกังวลด้านต่างๆ ส่งผลให้ตลาดความงามเปลี่ยนไป โดยสินค้ากลุ่ม Personal & Beauty Care นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2563 อยู่ในสภาวะติดลบ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2562 ตลาดสินค้าการดูแลส่วนบุคคลและความงามที่ติดลบเนื่องจากได้รับผลกระทบมาจากผู้บริโภคใช้ชีวิตอยู่นอกบ้านน้อยลง ทำให้การใช้สินค้าและความถี่ในการซื้อสินค้ากลุ่มนี้ลดลงตามมา
ส่วนแนวโน้มในปีหน้า คาดว่าสินค้ากลุ่มนี้จะกลับมาเติบโตอีกครั้ง เพราะช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ การค้าขายเริ่มฟื้นตัวจากการเปิดประเทศ ผู้บริโภคเริ่มมีการใช้จ่ายเงินมากขึ้นหลังจากที่อัดอั้นการใช้จ่ายมานาน และแต่ละแบรนด์เริ่มกลับมาใช้งบประมาณในการทำโฆษณาและประชาสัมพันธ์มากขึ้น จึงทำให้ตลาด Personal & Beauty Care เริ่มปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้นตามลำดับ” นายศิวกร กล่าวปิดท้าย