กลุ่ม KTIS มั่นใจผลผลิตอ้อยฤดูการผลิต 65/66 โต พร้อมรับรู้รายได้บรรจุภัณฑ์ชานอ้อยเต็มปี

171
สมชาย สุวจิตตานนท์

กลุ่ม KTIS คาดในการเปิดหีบอ้อยฤดูการผลิตปี 2565/2566 ช่วงเดือนธันวาคม 2565 นี้ จะมีอ้อยเข้าหีบมากกว่าปีก่อน  เนื่องจากปริมาณน้ำฝนช่วยให้อ้อยเติบโตเต็มที่ ได้ผลผลิตต่อไร่สูง  รวมทั้งมีการเพิ่มพื้นที่ปลูกอ้อย จากแรงจูงใจของราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลกที่สูงขึ้น เผยผลผลิตอ้อยจากประมาณการของหน่วยงานรัฐ เอกชน และเกษตรกร คาดว่าจะมีอ้อยมากกว่าปีก่อนไม่น้อยกว่า 15% สำหรับกลุ่ม KTIS คาดจะมีอ้อยเพิ่มถึง 20% ประกอบกับจะมีการรับรู้รายได้จากสายการผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากชานอ้อยเต็มปี ส่งผลให้ผลการดำเนินงานปี 2566 มีแนวโน้มเติบโต  

สมชาย  สุวจิตตานนท์  ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท  เกษตรไทย  อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ กลุ่ม KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจร เปิดเผยว่า จากประมาณการผลผลิตอ้อยของหน่วยงานรัฐ โรงงานน้ำตาล และองค์กรชาวไร่อ้อย คาดว่าปริมาณอ้อยและน้ำตาลทรายในฤดูการผลิตปี 2565/2566 จะมากกว่าปี 2564/2565 กว่า 15% เนื่องจากอ้อยได้รับน้ำ จากปริมาณฝนที่ตกมากในช่วงนี้อย่างเพียงพอ ทำให้ได้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น อีกทั้งราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลกก็อยู่ในระดับสูง จึงเป็นแรงจูงใจให้ชาวไร่อ้อยเพิ่มพื้นที่ปลูกอ้อยอีกด้วย

ทั้งนี้ ในฤดูการผลิตปี 2564/2565 กลุ่ม KTIS มีอ้อยเข้าหีบรวม 6.2 ล้านตัน ผลิตน้ำตาลทรายได้ 6.3 ล้านกระสอบ และคาดว่าการเปิดรับอ้อยเข้าหีบของปีการผลิต 2565/2566 ซึ่งจะเปิดหีบในช่วงเดือนธันวาคม 2565 นี้ กลุ่ม KTIS จะได้ปริมาณอ้อยเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 15-20% 

นายสมชาย กล่าวด้วยว่า อ้อยที่จะมีเพิ่มมากขึ้น จะทำให้วัตถุดิบที่ส่งเข้าสู่โรงงานต่างๆ มีมากขึ้นกว่าปีก่อนด้วยเช่นกัน ทั้งโมลาสที่เข้าสู่โรงงานผลิตเอทานอล ชานอ้อยสำหรับผลิตเยื่อกระดาษชานอ้อยและผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง รวมถึงโรงไฟฟ้าชีวมวลก็จะมีเชื้อเพลิงมากขึ้นด้วย 

“อีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลดีกับผลการดำเนินงานของกลุ่ม KTIS คือ ค่าเงินบาทที่อ่อนลง จะส่งผลดีกับสินค้าส่งออก ทั้งน้ำตาลทราย เยื่อกระดาษชานอ้อย และบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากชานอ้อย เพราะสินค้าเหล่านี้ส่วนใหญ่ส่งออกไปขายต่างประเทศ” สมชายกล่าว

          ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม KTIS กล่าวอีกว่า โครงการผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากชานอ้อย ซึ่งมีกำลังการผลิต 50 ตันต่อวัน หรือประมาณ 3 ล้านชิ้นต่อวัน จะสามารถรับรู้รายได้ครบทุกไตรมาสของรอบบัญชีปี 2566 เริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 เป็นต้นไป ซึ่งจะช่วยเสริมให้ผลการดำเนินงานของกลุ่ม KTIS เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีผู้ที่สนใจติดต่อขอเป็นผู้แทนจำหน่ายบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากเยื่อชานอ้อยเข้ามาหลายราย และติดต่อเข้ามาจ้างผลิตในลักษณะของ OEM อีกจำนวนหนึ่ง รวมทั้งกลุ่ม KTIS มีฐานลูกค้าเดิมอยู่แล้ว เช่นในประเทศสหรัฐอเมริกา จีน และญี่ปุ่น  จากเทรนด์รักโลก รักสิ่งแวดล้อม และรักสุขภาพ บรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากชานอ้อยที่มาจากเยื่อชานอ้อยบริสุทธิ์ 100% นี้จึงมีศักยภาพในการเติบโตที่สูง