ถอดรหัสวิธีเด็ด เคล็ดลดความอ้วน สูตรสำเร็จจากยันฮี

910

“ปัญหาน้ำหนักตัวเกิน” อาจมีที่มาจากหลายสาเหตุ อาทิ เผลอจัดเต็มกับการกินในทุกมื้อ หรือต้องปั่นงานกองพะเนินจนลืมออกกำลังกาย ตลอดจนการลดความอ้วนแบบผิดวิธี เช่น ลดปริมาณอาหาร งดมื้อเย็น ซึ่งมีข้อเสียมากมายที่ถูกมองข้าม คือเมื่อร่างกายรับปริมาณอาหารแต่ละมื้อไม่เท่ากัน จะส่งผลให้ฮอร์โมนความหิวและความอิ่มเกิดความไม่สมดุลตามมา จนสมองต้องสั่งการให้หาของหวานมาเติมเต็ม ทำให้ระบบเผาผลาญผิดเพี้ยน ร่างกายจึงอ้วนตามกันมา

นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุจากกลุ่มโรคบางชนิด ที่เป็นอุปสรรคให้ผู้ป่วยลดความอ้วนยากกว่าคนปกติเท่าตัว ไม่ว่าจะกลุ่มที่มีโรคประจำตัวอย่างโรคเบาหวาน รวมถึงผู้ป่วยในกลุ่มโรคบางชนิดที่มีภาวะอ้วนร่วม อย่างไทรอยด์ทำงานผิดปกติ ไทรอยด์ต่ำจากฮอร์โมน หรือผู้ป่วยหญิงที่มีถุงน้ำในรังไข่จากภาวะรังไข่ตกไม่สมบูรณ์ ก็นับเป็นสาเหตุที่ทำให้น้ำหนักตัวพุ่งสูง ทางลัดสู่การมี “รูปร่างและสุขภาพที่ดีแบบยั่งยืน” ที่ดีที่สุดจึงคือการเข้ารับการรักษาอย่างตรงจุด พร้อมรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด 

“ลดความอ้วนแบบองค์รวม” วิธีการรักษาแบบหมอ “ยันฮี”เป็นที่รู้กันว่าถ้าเอ่ยถึงการลดความอ้วน ไม่ว่าจะเลือกใช้วิธีแบบไหน มักต้องเริ่มด้วยการสำรวจค่า BMI หรือ การหาค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index) โดย แพทย์หญิงกัลยาณี พรโกเมธกุล แพทย์ผู้ชำนาญการ ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลยันฮี กล่าวว่า การรักษาของโรงพยาบาลฯ จะเริ่มขึ้นเมื่อได้ประเมินครอบคลุมถึงสาเหตุว่ามีโรคร่วมอะไรบ้าง เป็นเบาหวานไหม รวมถึงเช็คระดับความรุนแรงที่แยกย่อยได้จากค่าดัชนีมวลกาย เมื่อรู้ระดับความอ้วนของคนไข้ โปรแกรมจึงจะเริ่มต้นขึ้นตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล

โปรแกรมของการดูแลแบบองค์รวม จะไม่ได้มีแต่แพทย์ดูแลคนไข้แบบ 1:1 เท่านั้น เพราะโปรแกรมนี้จะถูกแจกจ่ายให้ทีมสุขภาพทำงานร่วมกัน โดยมีตัวหลักคือ คุณหมอประจำตัวคนไข้ ต่อด้วยนักโภชนาการ จัดการเรื่อง Food Diary ตารางอาหารการกินที่เหมาะกับคนไข้ ทั้งหัวข้อการคุมอาหารและจำนวนแคลอรี่ ตามด้วยทีมเวชศาสตร์การกีฬาหรือคุณหมอคาร์ดิโอ Fat Burn ให้คำปรึกษาเรื่องการออกกำลังกาย และรวมถึงการดูแลในกรณีคนไข้มีโรคร่วม เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โดยคุณหมออายุรกรรมเฉพาะทาง หรือหากมีประเด็น Psycho-Social (ภาวะทางจิตใจ)เข้ามาเป็นตัวแปร ก็จะมีทีมจิตแพทย์ เข้าร่วมในโปรแกรมการรักษาด้วยเช่นกัน”โดยจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายที่ทำให้การดูแลแบบองค์รวม ครบ จบ แบบสมบูรณ์คือ 3 วิธีเด็ด เคล็ดวิชาเฉพาะของโรงพยาบาลยันฮี ที่เน้นประสิทธิภาพและความปลอดภัยตลอดกระบวนการ ดังนี้

วิธีแรก-การใช้ “ฮอร์โมนควบคุมความหิว ชื่อทางการคือตัวยา “ลิรากลูไทด์” (Liraglutide) สารชนิดนี้คือเปปไทด์โปรตีนที่ออกฤทธิ์ไม่ต่างจาก GLP-1 ฮอร์โมนที่ปล่อยจากลำไส้เล็กช่วยส่งสัญญาณให้สมองรับรู้ถึงขีดจำกัดความอิ่ม โดยตัวยา “ลิรากลูไทด์” จะมีลักษณะเป็นแท่งยาฉีดที่มีเข็มอยู่ปลาย ใช้ฉีดเข้าใต้ผิวหนังบริเวณหน้าท้อง และด้านหน้าของต้นขาหรือต้นแขน ภายใต้การดูแลของแพทย์ ฮอร์โมนนี้จะใช้กับผู้มีภาวะโรคอ้วนที่ BMI มากกว่าเลข 27 ขึ้นไปที่มีโรคร่วม หรือ BMI > 30 โดยการฉีดฮอร์โมนคุมหิว 1 ครั้ง จะอยู่ได้นานราวๆ 12-24 ชั่วโมง ผลลัพธ์คือการส่งสัญญาณให้รู้สึกอิ่มนาน หิวน้อยลง ลดทานจุกจิก ช่วยลดการผลิตน้ำตาลที่ตับ และเพิ่มความไวของอินซูลินบริเวณตับอ่อนและกล้ามเนื้อ ทำให้ร่างกายเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและไขมันได้ดีขึ้น

“ฮอร์โมนนี้จะช่วยให้คนไข้เซ็ตปริมาณอาหารทุกมื้อเป็นรูทีน สร้างความคุ้นชินให้สมองรับรู้ถึงปริมาณอาหารที่เพียงพอให้รู้สึกอิ่ม ซึ่งถึงวันหนึ่งที่คนไข้ไม่ใช้ยา สมองกับกระเพาะก็จะเปิดรับปริมาณอาหารน้อยลง ส่งผลในการลดน้ำหนักอย่างมีคุณภาพ”วิธีที่สอง-การลดความจุกระเพาะด้วย “บอลลูน” : บอลลูนกระเพาะอาหาร หรือ Gastric Balloon คือซิลิโคนชนิดที่ใส่เข้าไปในร่างกายด้วยวิธีส่องกล้อง ไม่ต้องผ่าตัด ลักษณะเรียบ ไม่ระคายเคืองกระเพาะ ภายในจะใส่น้ำเกลือผสมสารสีฟ้าที่เรียกว่าเมทิลีนบลู (Methylene Blue) จุดประสงค์เพื่อลดพื้นที่ในกระเพาะอาหาร ข้อดีคือช่วยให้กระเพาะบีบตัวช้าลง ส่งผลต่อเนื่องให้ปริมาณอาหารที่ทานเข้าไปได้ในแต่ละมื้อค่อยๆ ลดลงตามไปด้วย เป็นการลดแคลอรี่ที่ได้ต่อวันอย่างได้ผลจริง โดยวิธีนี้สงวนไว้กับผู้ป่วยโรคอ้วนที่ค่อนข้างรุนแรง มีตัวเลข BMI เกิน 30 หรือกรณีมี BMI ที่ 27 ที่มีโรคร่วมที่น่าเป็นห่วงอย่างโรคหัวใจ ไขมันในเส้นเลือดและเบาหวาน

“โดยธรรมชาติแล้วกระเพาะอาหารจะมีความจุสูงสุดอยู่ที่ 4 ลิตร การใส่บอลลูนลงไปก็เพื่อลดทอนค่าสูงสุดนี้ลง ซึ่งครั้งแรกน้ำเกลือในบอลลูนจะถูกเติมเริ่มต้นที่ 400 ถึง 500 ซีซี และจะค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้นเมื่อระยะเวลาผ่านไปประมาณ 6 เดือน จนสูงสุดที่ 700 ซีซี รวมใส่เป็นเวลา 1 ปี แต่หากผู้ป่วยพอใจกับน้ำหนักที่ลดลงแล้วก็สามารถนำออกก่อนระยะเวลาได้”วิธีที่สาม-ดูดไขมันไม่มีหย่อนคล้อย ด้วยเทคนิคและนวัตกรรม : ในอดีต การดูดไขมันเป็นวิธีที่หลายคนเบนหน้าหนี ส่วนหนึ่งก็เพราะแม้ไขมันจะถูกดูดออกไป แต่ต้องแลกมากับผิวหนังที่หย่อนคล้อย ไหนจะรอยช้ำเกิดขึ้นตามจุดที่ดูดมากน้อยตามตัว นายแพทย์สมศักดิ์ ชุลีวัฒนะพงศ์ แพทย์ผู้ชำนาญการ ศูนย์ศัลยกรรมตกแต่ง  โรงพยาบาลยันฮี อธิบายว่า ปกติกรณีผิวหนังมีความยืดหยุ่นดี เมื่อดูดไขมัน ผิวที่บางลงจะมีการหดตัว ทำให้กระชับขึ้น ในกรณีที่มีภาวะหย่อนคล้อยร่วมด้วยไม่มากก็สามารถใช้การดูดไขมันและใช้คลื่นวิทยุเข้าไปกระตุ้นให้ผิวหนังมีการหดตัวมากขึ้น ซึ่งทางยันฮีก็ยังใช้อยู่ คือการดูดไขมันด้วยเครื่อง Vaser โดยลักษณะการใช้คลื่นวิทยุเข้าไปทำให้เซลล์ไขมันแตกตัว และกระตุ้นผิวหนังซึ่งมีคอลลาเจนหดตัว แล้วดูดไขมันซึ่งสลายเป็นน้ำออกมา ประโยชน์คือบริเวณที่ดูดไขมันจะไม่ค่อยช้ำและเสียเลือดน้อยลง

อย่างไรก็ตามก็จะมีคนไข้กลุ่มที่มีผิวหนังหย่อนมาก ซึ่งมักเป็นคนที่ผ่านการลดน้ำหนัก และ/หรือคนไข้ที่ผ่านการตั้งครรภ์มาแล้ว ซึ่งผิวหนังจะมีการหย่อนคล้อยมากขึ้น ก็มีนวัตกรรมใหม่ของทาง รพ.ยันฮี เรียกว่า J-Plasma สามารถทำให้ผิวหนังหลังจากการดูดไขมันมีการหดตัวและกระชับมากขึ้น โดยการใช้คลื่นพลาสมาร่วมกับแก๊สยิงใต้ผิวหนัง ผลคือนอกจากการกระชับแล้วทำให้ความยืดหยุ่นของผิวหนังดีขึ้นด้วย แต่สุดท้ายแล้วหากผิวหนังหย่อนคล้อยมาก การผ่าตัดผิวหนังส่วนเกินร่วมกับการดูดไขมัน และการนำเทคโนโลยีโดยเฉพาะ Laser ชนิดต่างๆ เข้ามาช่วยเพื่อให้รูปร่างกระชับขึ้นก็เป็นสิ่งจำเป็น โดยคำนึงถึงผลลัพธ์และการเปลี่ยนแปลงที่ดีที่สุด ถ้าพูดถึงการลดความอ้วน แน่นอนว่ามักจะสื่อชัดเจนถึงการปรับรูปร่าง ทว่าในวันนี้รูปร่างอาจไม่ใช่ประเด็นสำคัญ การลดความอ้วนจึงแปลได้อย่างชัดเจนเลยว่า “ลดภาวะอ้วนให้ตัวเลข BMI กลับสู่เกณฑ์ปกติ” เพราะสำหรับโรงพยาบาลยันฮีแล้ว เป้าหมายที่แท้จริงของการ “ลดความอ้วนแบบองค์รวม” ก็เพื่อให้ผู้ป่วยมีความสุข สุขภาพที่ดีแบบยั่งยืน ไร้โรคแทรกซ้อน ผู้สนใจสามารถสอบถามเพิ่มเติมที่โรงพยาบาลยันฮี โทร.1723 หรือที่เว็บไซต์: https://th.yanhee.net/, Line: yanhee Hospital หรือเฟซบุ๊ก: ยันฮีโรงพยาบาลเพื่อสุขภาพและความงาม