บมจ.แอสเซทไวส์ หรือ ASW พร้อมเดินหน้าใช้เครื่องมือทางการเงิน หลังได้รับอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 ให้ออกและเสนอขายหุ้นกู้แปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญ จำนวนไม่เกิน 320,000 หน่วย ที่ราคาเสนอขายหน่วยละ1,000 บาท แก่ผู้ถือหุ้นเดิม คาดเสนอขายภายในปีนี้ พร้อมออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 506,985,818 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท และออกวอแรนต์ครั้งที่ 2 (ASW-W2) จำนวน 96 ล้านหุ้น กำหนดราคาใช้สิทธิ 12 บาทต่อหุ้นเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินรับแผนสร้างการเติบโตสู่เป้าหมายยอดขายที่10,000 ล้านบาท
กรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) (ASW) บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นผู้นำด้านไลฟ์สไตล์ภายใต้แนวคิด “ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ” หรือ “We Build Happiness” เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2565 ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-AGM) ได้มีมติอนุมัติการจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิหรือวอแรนท์ ครั้งที่ 1 (ASW-W1) จำนวนไม่เกิน 285,373,707หน่วย ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นในอัตรา 3 หุ้นสามัญเดิม ต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ โดยมีอายุ 2 ปีนับจากวันที่ได้ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ ที่กำหนดอัตราใช้สิทธิตามใบแสดงสิทธิ ASW-W1 ในอัตรา 1 หน่วยต่อ 1 หุ้นสามัญ ในราคาใช้สิทธิ 12 บาทต่อหุ้น กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับวอร์แรนต์ (Record Date) ในวันที่ 11 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา
พร้อมกันนี้ที่ประชุมผู้ถือหุ้น ได้มีมติอนุมัติให้ออกและเสนอขายหุ้นกู้แปลงสภาพที่ออกใหม่ของบริษัท และให้สิทธิแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญของบริษัทจำนวนไม่เกิน 320,000 หน่วย ราคาเสนอขายหน่วยละ 1,000 บาท ต่อหน่วยหุ้นกู้แปลงสภาพ คิดเป็นมูลค่าเสนอขายทั้งสิ้นไม่เกิน 320 ล้านบาท ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทที่ได้รับสิทธิจัดสรรตามสัดส่วนการถือหุ้น (PPO) ในอัตราการจัดสรร 2,676 หุ้นเดิมต่อ 1 หน่วยหุ้นกู้แปลงสภาพ รวมถึงการออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นสามัญบริษัท ครั้งที่ 2 (ASW-W2) อีกจำนวนไม่เกิน 96 ล้านหน่วย หรือคิดเป็นร้อยละ 11.21 ของทุนชำระแล้วของบริษัท มีอายุ2 ปี เพื่อจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทที่จองซื้อและได้รับจัดสรรหุ้นกู้แปลงสภาพตามสัดส่วนจำนวนหุ้นของผู้ถือหุ้นแต่ละราย ในอัตรา 1 หน่วยหุ้นกู้แปลงสภาพ ต่อ 300 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิครั้งที่ 2 (ASW-W2) กำหนดราคาใช้สิทธิที่ 12.00 บาทต่อหุ้น
นอกจากนี้ ผู้ถือหุ้นยังมีมติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัท จำนวน506,985,818.00 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 856,121,119.00 บาท เป็นทุนจดทะเบียน 1,363,106,937.00 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน506,985,818 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท รองรับการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนแบบมอบอำนาจทั่วไปให้แก่บุคคลในวงจำกัดจำนวน 85,612,111หุ้น การออกและเสนอขาย ASW-W1 จำนวน 285,373,707 หุ้น การออกและเสนอขายหุ้นกู้แปลงสภาพ 40,000,000 หุ้น และการออกและเสนอขาย ASW-W2 จำนวน 96,000,000 หุ้น
ทั้งนี้วัตถุประสงค์ออกหุ้นกู้แปลงสภาพและวอร์แรนต์ในครั้งนี้ เพื่อนำเงินที่ได้มาใช้ลงทุนในโครงการที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน เช่น โครงการแอทโมซ โอเอซิส อ่อนนุช, แอทโมซ โฟลว์ มีนบุรี, ดิ ออเนอร์ โยธินพัฒนา เป็นต้น นอกจากนี้จะนำไปลงทุนติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคา (Solar Rooftop) โครงการKAVE TU คอนโดฯ แบบ Low Rise บนทำเลศักยภาพย่านมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และโครงการ KAVE Town Shift คอนโดฯ ที่ รังสิต-ม.กรุงเทพซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเงินกู้ Green Loan หรือเงินทุนสนับสนุนในโครงการพัฒนาพลังงานทางเลือกหรือพลังงานทดแทน ตลอดจนใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจของบริษัท
“หลังจากการออกเครื่องมือทางการเงินแล้วเสร็จ จะทำให้โครงสร้างของบริษัท มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ช่วยให้การดำเนินงานมีความคล่องตัวรองรับกับแผนการสร้างการเติบโตทั้งปัจจุบันและในอนาคต โดยในปีนี้ ASW มีแผนพัฒนาโครงการใหม่อีก 7 โครงการทั้งโครงการคอนโดมิเนียม และโครงการบ้านแนวราบ มูลค่าโครงการรวม 12,400 ล้านบาท โดยในปี 2565 วางเป้าหมายยอดขาย (พรีเซล) 10,000 ล้านบาท พร้อมก้าวสู่การเป็นผู้พัฒนาอสังหาฯ ชั้นนำของประเทศ” กรมเชษฐ์ กล่าว
บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่มีความมุ่งมั่นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวสูงและแนวราบบนทำเลศักยภาพ ภายใต้แนวคิด “ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ” หรือ “We Build Happiness” ปัจจุบันได้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและโครงการบ้านจัดสรรมาแล้วกว่า 39 โครงการ ภายใต้แบรนด์ในเครือที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความสุขให้เหมาะกับทุกไลฟ์สไตล์ ได้แก่ แบรนด์ เคฟ (KAVE), แบรนด์ แอทโมซ (ATMOZ), แบรนด์ โมดิซ (MODIZ), แบรนด์ เอสต้า (ESTA) และ แบรนด์ ดิ ออเนอร์ (THE HONOR) รวมมูลค่าโครงการกว่า 38,500 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและโครงการพร้อมอยู่ จำนวน 31 โครงการ และโครงการที่กำลังเปิดขายและอยู่ระหว่างการพัฒนา จำนวน 8 โครงการ โดยปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ารวมกว่า 7,338 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง