บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง หรือ TKN เผยผลงานไตรมาส 3/64 มีรายได้จากการขาย 830.7 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 19.3 ล้านบาท ขณะที่งวด 9 เดือนแรกปี 2564 มีรายได้จากการขาย 2,533.7 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 97.7 ล้านบาท มองผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 3/64 พร้อมเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องรับนโยบายเปิดประเทศหนุนความเชื่อมั่นดันกำลังซื้อเพิ่ม ส่วนตลาดต่างประเทศทิศทางเริ่มสดใสหลังมีออเดอร์จากจีนเข้ามาเฉลี่ย 130-150 ตู้คอนเทนเนอร์ต่อเดือน
อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสาหร่ายทะเลแปรรูปทั้งในและต่างประเทศภายใต้แบรนด์ ‘เถ้าแก่น้อย’ รวมถึงขนมขบเคี้ยว และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2564 ถือเป็นปีที่มีความท้าทายในการบริหารจัดการเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัทฯ จากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ปี 2562จนถึงปัจจุบัน ทำให้ภาครัฐเพิ่มระดับความเข้มข้นในการควบคุมการแพร่ระบาดด้วยการดำเนินมาตรการล็อกดาวน์ในหลายพื้นที่ โดยจำกัดการเดินทางและจำกัดเวลาการออกนอกบ้าน ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ชะลอตัวลง เป็นผลให้ภาพรวมตลาดฯ หดตัวลง
ทั้งนี้ จากเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-กันยายน) ชะลอตัวลง โดยมีรายได้จากการขาย 2,533.7 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 97.7 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 3/2564 (กรกฎาคม-กันยายน) มีรายได้จากการขาย 830.7 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 19.3 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลกระทบจากการประกาศล็อกดาวน์ ทำให้มีต้นทุนเสียโอกาสในเรื่องยอดผลิตและยอดขายที่หายไปเฉลี่ยวันละ 10 ล้านบาท รวมถึงมีค่าใช้จ่ายโรงงาน (Factory Overhead) ในการผลิตและบริหารเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง สืบเนื่องจากการคำนึงถึงเรื่องคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่ต้องมีความปลอดภัยต่อลูกค้าทุกภาคส่วนจึงต้องมีค่าใช้จ่ายในมาตรการป้องกันเชิงรุก และยังมีผลช่วยให้บริษัทฯ ฟื้นตัวจากผลกระทบโควิดได้เร็วขึ้น
อย่างไรก็ตาม TKN จากการบริหารจัดการเชิงรุกในเรื่องของมาตรการคุมเข้มเพื่อป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ภายในโรงงานทั้ง 2 แห่ง ได้จัดทำมาตรการ Bubble and Seal โดยคำนึงถึงความสำคัญของพนักงานอย่างสูงสุด โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดได้ทำการตรวจคัดกรองโดยใช้ชุด ATK ให้กับพนักงานทุกสัปดาห์ ทำให้การควบคุมโรคมีประสิทธิภาพมากขึ้นจนได้รับเกียรติบัตรสถานประกอบกิจการที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาอยุธยาโมเดล และถือเป็นโรงงานต้นแบบมาตรฐานในการจัดการป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 จากหน่วยงานรัฐ
ทั้งนี้ บริษัทฯ มองว่าผลการดำเนินงานได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้วและจะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับ ตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ หลังจากภาครัฐผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ และเริ่มเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมถึงมาตรการสนับสนุนคนไทยท่องเที่ยวภายในประเทศ ส่งผลดีต่อกำลังซื้อในประเทศให้ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน มีสัญญาณการฟื้นตัวของตลาดหลักอย่างประเทศจีนและสหรัฐที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตลาดประเทศจีนที่มียอดคำสั่งซื้อเข้ามาเฉลี่ย 130-150 ตู้คอนเทนเนอร์ต่อเดือน ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานต่อจากนี้ แม้ว่าจะยังคงมีแรงถูกกดดันจากค่าระวางการขนส่งสินค้าทางเรือรวมถึงราคาค่าตู้คอนเทนเนอร์ที่ยังอยู่ในเกณฑ์สูง แต่บริษัทฯ มั่นใจว่าจะสามารถบริหารจัดการได้ โดยมีการร่วมกับคู่ค้าในการวางแผนแก้ไขปัญหาดังกล่าว
“ความท้าทายในการบริหารงานภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่บริษัทฯ ได้ดำเนินตามมาตรการต่างๆ อย่างรัดกุมเพื่อลดผลกระทบต่อผลการดำเนินงาน ซึ่งเชื่อมั่นว่าหลังจากไตรมาส 3/64 เป็นต้นไป เราได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว และต่อแต่นี้ไปบริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะสร้างการเติบโตของธุรกิจ และสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นอยู่เสมอ” อิทธิพัทธ์ กล่าว