ถ้าพูดถึงสินค้าจากประเทศเยอรมนี แบรนด์ที่หลายๆ คนคิดถึง ก็คงเป็นสินค้ากลุ่มยานยนต์อย่าง เมอร์เซเดส เบนซ์ หรือ บีเอ็มดับเบิลยู ซึ่งล้วนแต่เป็นสินค้าระดับพรีเมียมตลาดบนของกลุ่มผู้มีรายได้สูง สะท้อนถึงคุณภาพของสินค้าจากเมืองเบียร์ได้เป็นอย่างดี แต่ในตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้า เยอรมนี ก็มีอีกหนึ่งแบรนด์ที่คนไทยรู้จักกันดี แม้จะเข้ามาสู่ตลาดเมืองไทยได้เพียง 20 กว่าปี แต่อายุของแบรนด์ก็เก่าแก่นับ 100 ปี ไม่แพ้ 2 แบรนด์ยานยนต์ นั่นคือ สตีเบล เอลทรอน
สตีเบล เอลทรอน คือผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องกับน้ำ เช่น เครื่องทำน้ำอุ่น-น้ำร้อน เครื่องกรองน้ำ ปั๊มน้ำ ฮีทปั๊ม รวมไปถึงเครื่องเป่ามือที่เห็นกันในห้องน้ำของห้างสรรพสินค้าส่วนใหญ่ในเมืองไทย สตีเบลฯ ให้ความสำคัญกับเมืองไทยเป็นอย่างมาก เพราะหลังจากเปิดตลาดในประเทศไทยเป็นครั้งแรกในปี 2542 และก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดเครื่องทำน้ำอุ่น-น้ำร้อน ในเวลาไม่นาน อีก 7 ปีต่อมา ก็ประกาศตั้งโรงงานในจังหวัดอยุธยา เพื่อผลิตสินค้าเป็นฐานส่งออกไปสู่ตลาดเอเชีย
แต่เมื่อทั้งโลกต้องเผชิญกับสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ผู้คนต้องเปลี่ยนแปลงพฤติการณ์การดำเนินชีวิต ธุรกิจหยุดชะงักไปพักใหญ่ แผนการตลาดที่วางไว้ต้องปรับเปลี่ยน ตลาดเครื่องทำน้ำอุ่นของสตีเบล เอลทรอน ก็เช่นกัน ผู้บริหารก็ต้องปรับกลยุทธ์กันครั้งใหญ่ เพื่อรอรับตลาดที่จะกลับมาในปีหน้า
โรลันด์ เฮิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท สตีเบล เอลทรอน เอเซีย จำกัด กล่าวว่า พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจากการระบาดของโควิด-19 ร้านค้าปลีกต้องหยุดดำเนินการในระหว่างการแพร่ระบาด สตีเบล เอลทรอน ต้องปรับตัวเพื่อรับกับพฤติกรรมในการช้อปปิ้งออนไลน์ด้วยการร่วมกับคู่ค้าอีคอมเมิร์ซออกผลิตภัณฑ์ใหม่ และโปรโมชั่น ส่งผลให้ยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ในปีนี้เติบโตเพิ่มขึ้นมากกว่า 70% นอกจากนี้ ยังพบว่า เมื่อผู้คนต้องใช้เวลาอยู่กับบ้านมากขึ้น ก็มีแนวคิดที่จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบ้านที่อยู่มานาน แต่ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย ทำให้ต้องเลือกซื้อสินค้าที่มีราคาถูกลง ในปีนี้สตีเบล เอลทรอน จึงได้เปิดไลน์สินค้าเครื่องทำน้ำอุ่นใหม่ เพื่อจับกลุ่มตลาด C-Segment ชนชั้นกลาง ที่มีราคาไม่เกิน 3,000 บาท
เครื่องทำน้ำอุ่นในระดับราคาไม่เกิน 3,000 บาท ถือเป็นตลาดสำคัญที่มีส่วนแบ่งอยู่ในตลาดเครื่องทำน้ำอุ่นโดยรวมถึง 50% แต่สตีเบล เอลทรอน ไม่มีสินค้าอยู่ในตลาดนี้ เพราะส่วนใหญ่จะมีสินค้าระดับกว่า 3,000 ไปจนถึงหลักหมื่นบาท แต่เมื่อสถานการณ์ที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในช่วงการระบาดของโควิด-19 สตีเบล เอลทรอน จึงได้นำเสนอผลิตภัณฑ์เครื่องทำน้ำอุ่นซีรีย์ใหม่ ชื่อว่า “Safe-Save Series” ที่ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ลูกค้าประหยัดงบประมาณในกระเป๋า ยังเน้นเรื่องความปลอดภัยที่เป็นข้อคำนึงสำคัญของผู้ใช้เครื่องทำน้ำอุ่น และยังคงเพลิดเพลินกับการอาบน้ำอุ่นได้ทุกวัน ได้แก่ รุ่น DE, AQE และ WS E-2 โดยทั้งสามรุ่นนี้ออกมาเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าชาวไทยที่เป็นครอบครัวใหญ่ ผู้พักอาศัยอยู่คนเดียว และกลุ่มผู้ที่เริ่มทำงาน ที่ให้ความเชื่อมั่นกับมาตรฐานเยอรมัน
“การวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทั้งสามรุ่นนี้ของสตีเบล เอลทรอนถือเป็นการขยายตลาดและแนะนำแบรนด์ให้กับกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ โดยเน้นที่กลุ่มลูกค้าในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือก่อนที่จะขยายไปยังภูมิภาคอื่นของประเทศไทยโดยจะใช้ Influencer ผู้มีชื่อเสียงในพื้นที่เป็นผู้นำเสนอ เชื่อว่าผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ช่วยเพิ่มศักยภาพในการขยายฐานลูกค้าเดิม รวมถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ C-Segment ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องราคา และอนาคตจะมีการส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนอีกด้วย” โรลันด์ เฮิน กล่าว
โรลันด์ เฮิน กล่าวต่อว่า นอกเหนือจากผลิตภัณฑ์ที่เจาะตลาดใหม่ สตีเบล เอลทรอน ยังมีผลิตภัณฑ์กลุ่มเพื่อความยั่งยืนที่ช่วยให้ลูกค้าประหยัดค่าใช้จ่ายพร้อมไปกับการได้ดูแลสิ่งแวดล้อมนั้นยังถือเป็นอีกหนึ่งบทบาทสำคัญที่สตีเบล เอลทรอน ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอออกไป โดยจากการศึกษาพบว่าปัจจุบันลูกค้าให้ความสำคัญกับเรื่องคุณภาพของสินค้า ระยะเวลาในการส่งมอบ และการให้ความใส่ใจในเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ซึ่งผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ออกวางจำหน่ายในปี 2564 จะตอบโจทย์ความต้องการเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี ประกอบด้วย
เครื่องทำน้ำอุ่นรุ่น XG Super Black ที่วางจำหน่ายในจำนวนจำกัดเพียง 1,000 เครื่อง เฉพาะช่องทางออนไลน์ Shopee, Lazada และ JD Central
เครื่องทำน้ำร้อนรุ่น DCM7 มาพร้อม Rapid Composite Heater ที่ช่วยให้ผลิตน้ำร้อนได้รวดเร็วทันใจ
STIEBEL LIFE ตู้กดน้ำร้อน-น้ำเย็นที่มาพร้อมเครื่องกรองน้ำเชิงพาณิชย์คุณภาพระดับพรีเมียมอย่าง MAXSTREAM ที่ช่วยให้กรองน้ำได้ปริมาณมาก ออกแบบมาได้อย่างลงตัวไม่ว่าจะติดตั้งกับที่บ้าน สำนักงาน หรือสถานที่ทำงาน
MAXSOFT เครื่องทำน้ำอ่อนคุณภาพสูง ขนาดกะทัดรัด ที่ช่วยเสริมคุณภาพของน้ำดื่มสำหรับเครื่องชงกาแฟ เครื่องทำน้ำแข็ง และตู้กดน้ำร้อน-น้ำเย็น ซึ่งถือเป็นสินค้าที่เหมาะเป็นอย่างยิ่งกับร้านอาหาร และคาเฟ่ต่าง ๆ
“ในปี 2565 จะเป็นปีที่สตีเบล เอลทรอนจะขยายกลุ่มสินค้าอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการรักษาคู่ค่าเดิม พร้อมขยายไปในช่องทางการจำหน่ายใหม่ๆ โดยเฉพาะตลาดออนไลน์ ที่จะมีการพัฒนาช่องทางติดต่อทั้งเว็บไซต์ เพจบนเฟสบุ๊ก เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลสินค้า และติดต่อกับบริษัทได้ง่ายขึ้น เชื่อว่าหลังการคลายล็อกดาวน์ หลายๆ ธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มโรงแรมจะกลับมาทำการรีโนเวท เพื่อการเปิดบริการ ก็จะเป็นโอกาสให้สตีเบล เอลทรอน เพิ่มยอดขายได้”
โรลันด์ เฮิน กล่าวถึงผลประกอบการของสตีเบล เอลทรอน ในประเทศไทยว่า แม้สภาพเศรษฐกิจจะซบเซา และมีปัญหาด้านช่องทางการจำหน่ายที่ถูกล็อกดาวน์เป็นระยะๆ แต่ด้วยการปรับกลยุทธ์หันมาทำตลาดออนไลน์ ซึ่งได้ผลตอบรับที่ดี ก็ทำให้บริษัทสามารถคงไว้ซึ่งยอดขาย และยังมีส่วนให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้โดยไม่ต้องลดจำนวนพนักงานหรือลดเงินเดือนพนักงานเลย
โดยนับแต่มกราคมถึงตุลาคม 2564 สตีเบล เอลทรอน มียอดขายเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2563 ส่วนใหญ่มาจากช่องทางโมเดิร์นเทรด 58%) ดีลเลอร์ (22%) การค้าระหว่างธุรกิจด้วยกัน หรือ B2B (11%) และอีคอมเมิร์ซ (9%) ด้านยอดขายโดยรวมนับจำนวนเครื่อง มีการเติบโตมากกว่า 10% แต่หากนับเป็นมูลค่า มีการเติบโตราว 5% โดยยอดขายเครื่องทำน้ำอุ่นมีการเติบโตขึ้นถึง 50% ซึ่งโรลันด์ คาดว่า สิ้นปีนี้สตีเบล เอลทรอน เอเชีย จะปิดยอดขายที่ 1,100 ล้านบาท โดยเป็นยอดขายในประเทศไทย 900 ล้านบาท และต่างประเทศ 200 ล้านบาท
ปัจจุบัน สตีเบล เอลทรอน เป็นผู้นำในตลาดเครื่องทำน้ำอุ่นของเมืองไทย จากตลาดรวม 3,000 ล้านบาทต่อปี คิดเป็นจำนวนเครื่อง 9 แสนยูนิต สตีเบล เอลทรอน มีส่วนแบ่ง 630 ล้านบาท คิดเป็นจำนวนเครื่อง 2 แสนยูนิต หรือมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ราว 20%
“เราดีใจที่ปีนี้สามารถก้าวผ่านความท้าทายเหล่านั้นมาได้และหวังที่จะประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดีเมื่อถึงช่วงสิ้นปี 2564 ด้วย และเรายังคงเดินหน้าพัฒนาและส่งมอบสินค้าและบริการให้กับครอบครัวชาวไทยโดยการขยายช่องทางการขายเพื่อเข้าถึงคนในทุกภูมิภาคทั่วไทยให้มากขึ้น เช่นเดียวกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่มีความยั่งยืนและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ทุกกลุ่ม” โรลันด์ กล่าว