เนสท์เล่ บริษัทผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มรายใหญ่ที่สุดของโลก จากสวิตเซอร์แลนด์ ประกาศความเชื่อมั่นในประเทศไทย เปิดแผนการลงทุนเพื่อสร้างการเติบโตระยะยาวในประเทศไทย ด้วยงบประมาณกว่า 4,500 ล้านบาท ขยายขีดความสามารถการผลิตใน 3 โรงงาน ในธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสัตว์เลี้ยง ผลิตภัณฑ์ไอศกรีม และผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มยูเอชที เสริมความแข็งแกร่งให้พอร์ตโฟลิโอของเนสท์เล่ในการนำเสนอทางเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดีและหลากหลายมากยิ่งขึ้นให้ผู้บริโภคชาวไทย โดยชูนวัตกรรมที่ทันสมัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและสอดคล้องพันธกิจด้านความยั่งยืนระดับโลกของเนสท์เล่ พร้อมอัดงบประมาณอีก 50 ล้านบาท เสริมทัพธุรกิจดิจิทัล
วิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า กล่าวว่า แม้จะเป็นปีที่ท้าทาย แต่เนสท์เล่เชื่อมั่นในศักยภาพของตลาดประเทศไทย และมองเห็นถึงการเติบโตในระยะยาว จึงเดินหน้าขยายการลงทุน ใน 3 โรงงานหลัก ประกอบด้วย โรงงานอมตะ โรงงานบางชัน และ โรงงานยูเอชที นวนคร7 เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง ไอศกรีม และเครื่องดื่มยูเอชที โดยนำอินไซต์ของผู้บริโภคชาวไทยมาต่อยอดสู่การวางกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจที่นำนวัตกรรมเข้ามาขับเคลื่อน เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีโภชนาการที่ดี รสชาติอร่อย และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคชาวไทย ควบคู่กับการคำนึงถึงความยั่งยืน สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของเนสท์เล่ในการเปิดพลังแห่งอาหารเพื่อเพิ่มพูนคุณภาพชีวิตที่ดี สำหรับทุกคนในวันนี้และในอนาคต
ผลการสำรวจพบว่า ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลง โดยมีความโดดเด่นใน 5 ด้านดังนี้ 1. เลือกกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้นและมองหาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน 2. ให้รางวัลกับตัวเองด้วยการมองหาของกินเล่นเพื่อช่วยเติมเต็มความสุขระหว่างวัน 3. ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าของสินค้ามากขึ้นโดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจมีความท้าทาย 4.ให้ความสำคัญกับการรักษาสิ่งแวดล้อม และ 5. ช่องทางอีคอมเมิร์ซ และบริการส่งอาหาร (ฟู้ดเดลิเวอรี่) มีการเติบโตสูง เนื่องจากผู้บริโภคหลีกเลี่ยงการออกไปข้างนอก เนสท์เล่จึงนำอินไซต์เหล่านี้เป็นข้อมูลวางกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในครั้งนี้
โดยหนึ่งเทรนด์สำคัญ พบว่าปัจจุบันผู้คนหันมาเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อนคลายเหงามากขึ้น ทำให้ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว แม้ในช่วงโควิด-19 ที่หลายครอบครัวเริ่มลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น แต่กำลังซื้อในตลาดสัตว์เลี้ยงยังไม่ตก สอดคล้องกับเทรนด์โลกที่พบว่า ตลาดอาหารสัตว์พรีเมียมมีการขยายตัวสูงเช่นกัน เนื่องจากผู้บริโภคยินดีที่จะจ่ายเงินมากขึ้น เพื่อซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพให้กับสัตว์เลี้ยงของตัวเอง
เนสท์เล่จึงใช้งบลงทุน 2,550 ล้านบาท สร้างโรงงานแห่งใหม่ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต และเสริมพอร์ตโฟลิโอธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงของเนสท์เล่ให้แข็งแกร่งขึ้น โดยโรงงานแห่งใหม่ มีกำหนดเริ่มเดินสายการผลิตในช่วงกลางปี 2564
ขณะที่โรงงานบางชัน เป็นโรงงานผลิตไอศกรีมของเนสท์เล่ เพื่อตอบเทรนด์ผู้บริโภคชาวไทยในปัจจุบันที่ให้รางวัลกับตัวเองด้วยการมองหาของกินเล่นเพื่อช่วยเติมเต็มความสุขระหว่างวัน เนสท์เล่จึงสร้างความแปลกใหม่ให้ตลาดไอศกรีมอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น ไอศกรีมโมจิ
ที่นำเทรนด์จากเกาหลีและญี่ปุ่นมาเปิดตลาดในไทยเป็นแบรนด์แรกและได้รับการตอบรับที่ดีมาก รวมถึง ไอศกรีมคิทแคท และโอริโอ พร้อมริเริ่มนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ไอศกรีมเนสท์เล่ เอ็กซ์ตรีม นามะ ที่ทำจากกระดาษเป็นครั้งแรกของไทยและสามารถรีไซเคิลได้ ทำให้ยอดขายไอศกรีมเนสท์เล่มีการเติบโตในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราจึงจัดสรรงบประมาณ 440 ล้านบาท เพิ่มไลน์การผลิตของโรงงานบางชัน เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
ด้านโรงงานยูเอชที นวนคร7 ซึ่งผลิตเครื่องดื่มยูเอชที ได้แก่ ไมโล และ นมตราหมี ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลุ่มธุรกิจหลักที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากผลวิจัยของนีลเส็น (Nielsen) พบว่า เครื่องดื่มนมวัวยูเอชทีและเครื่องดื่มช็อกโกแลตมอลต์ยูเอชที จะมีการเติบโตถึง 3% ใน 3 ปีข้างหน้า สะท้อนให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพและพกพาสะดวกเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคชาวไทยมองหา เนสท์เล่จึงเดินหน้าสร้างโรงงานยูเอชทีแห่งใหม่ด้วยงบประมาณ 1,530 ล้านบาท และเริ่มการผลิตเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ชูเทคโนโลยีล้ำสมัย พร้อมตอบโจทย์ผู้บริโภคสายรักษ์โลก ด้วยการนำเสนอนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อย่าง ไมโล ยูเอชที หลอดกระดาษแบบงอได้ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่มีการนำหลอดกระดาษมาใช้ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ยูเอชทีของไทย และตั้งเป้าลดการใช้หลอดพลาสติกได้มากกว่า 500 ล้านหลอดในปี 2564
นอกจากนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่สอดคล้องกับพันธกิจด้านความยั่งยืนระดับโลกที่ต้องการเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดให้สามารถรีไซเคิลหรือนำกลับมาใช้ใหม่ได้ภายในปี 2568 โรงงานทั้ง 3 แห่งยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตั้งแต่กระบวนการผลิต ได้แก่ ลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ลดการใช้พลังงานและน้ำ ตลอดจนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และไม่เหลือขยะหรือของเสียไปที่หลุมฝังกลบ
ด้านเทคโนโลยีการผลิต เนสท์เล่ได้ลงทุนในการทำให้สายการผลิตทำงานด้วยระบบดิจิทัลมากขึ้นด้วยการติดตั้งอุปกรณ์กล้องดิจิทัลเพื่อใช้ตรวจสอบและควบคุมไลน์การผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ป้องกันความผิดพลาด และสามารถควบคุมคุณภาพได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ สามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพไปยังผู้บริโภค
ในส่วนของอีคอมเมิร์ซ ก่อนหน้าที่จะเกิดโควิด-19 ประเทศไทยคาดการณ์อัตราการเติบโตของอีคอมเมิร์ซอยู่ที่ 30% แต่ช่วงที่เกิดโควิด-19 ธุรกิจอีคอมเมิร์ซมีการเติบโตเพิ่มขึ้นมากกว่านั้นอีก เนื่องจากผู้บริโภคหันมาช้อปของใช้ในบ้านและสั่งอาหารออนไลน์มากขึ้น ส่งผลให้ในปี 2563 ยอดขายออนไลน์ของเนสท์เล่โตกว่าเป้าที่ตั้งไว้ถึง 2 เท่า
“เพื่อตอบรับเทรนด์ดิจิทัลที่มาแรง เนสท์เล่ได้ตั้งทีมอีบิสซิเนสขึ้นตั้งแต่ปี 2561 มีการลงทุนทั้งด้านระบบและบุคลากรอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีทีมงานเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า และในปีนี้ได้จัดงบลงทุนในอีบิสซิเนส 50 ล้านบาท เพื่อจัดหาเครื่องมือที่ดีที่สุด รวมทั้งร่วมมือกับพาร์ทเนอร์จัดการอบรมเพื่อให้ก้าวทันกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พร้อมลงทุนในการสร้างเทคโนโลยีด้านการตลาดโฆษณา และระบบการจัดการข้อมูลของเราเอง เพื่อนำเสนอสินค้า บริการ และพัฒนาการสื่อสารที่ตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริงอีกด้วย” วิคเตอร์ กล่าว