ตลาดฟิตเนสในประเทศไทยเคยผ่านความมืดมนมาเมื่อหลายปีก่อน เมื่อแบรนด์ดังจากต่างประเทศวางแผนการตลาดผิดพลาด เน้นการขายแพ็กเกจโปรโมชั่น จ่าย 6 เดือนแถม 6 เดือน หรือจ่าย 1 ปี แถมฟรีอีก 1 ปี รับเงินก้อนโตมาก่อน จนเกิดช่วงสุญญากาศที่มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการ แต่ไม่มีรายได้ สุดท้ายต้องปิดบริการ ทำเอาความเชื่อมั่นของผู้บริโภคกับการใช้บริการฟิตเนสแบรนด์เนมหดหายไปพักใหญ่
จนเมื่อปี 2561 เจ็ทส์ ฟิตเนส จากออสเตรเลีย ที่เข้ามาทำตลาดในประเทศพร้อมนโยบายที่ไม่มีการแถม ไม่ว่าจะจ่ายรายเดือน หรือจ่ายรายปี แต่ชูจุดขายการให้บริการ 24 ชั่วโมง และขยายสาขาตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า ใช้เวลาเพียง 2 ปี กลายเป็นแบรนด์ฟิตเนสที่เติบโตเร็วที่สุดในประเทศไทย ด้วยสาขาทั่วประเทศมากถึง 22 แห่ง
ไมเคิล เดวิด แลมบ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เจ็ทส์ ฟิตเนส 24 ชั่วโมง ภูมิภาคเอเชีย กล่าวว่า เจ็ทส์ ฟิตเนส ได้เริ่มขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วในประเทศไทยมาตั้งแต่ต้นปี 2561 และดำเนินการตามแผนการเติบโตของธุรกิจมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้ ปัจจุบันเราจึงมีสาขาทั้งหมดรวมกว่า 22 แห่ง และกำลังอยู่ในระหว่างการเตรียมการเพื่อเปิดสาขาอีกมากกว่าสิบแห่งในอนาคต
ปัจจุบัน สาขาของเจ็ทส์ ฟิตเนส ที่มีอยู่กว่า 17 แห่งในกรุงเทพฯ 2 แห่งในจังหวัดนนทบุรี 2 แห่งในพัทยา และ 1 แห่งในโคราช มีอัตราการขยายตัวรวดเร็วที่สุดอยู่ที่เฉลี่ย 1 สาขาต่อเดือน ถือเป็นผู้ให้บริการฟิตเนสที่เติบโตเร็วที่สุดในประเทศไทย ไม่เพียงแต่ภายในภาคอุตสาหกรรมฟิตเนสของไทยเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงในภูมิภาคเอเชียทั้งหมด นอกจากนี้ เรายังเป็นเชนฟิตเนส 24 ชั่วโมงรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย โดยมีส่วนแบ่งตลาดถึง 60% และคาดว่าในอนาคตอันใกล้นี้จะมีจำนวนสาขารวมทั้งหมดมากกว่าผู้ประกอบการรายอื่นๆ
จากการศึกษาข้อมูลพบว่า สมาชิกฟิตเนสในกรุงเทพฯ กว่า 70% เข้าไปออกกำลังกายในฟิตเนสเป็นเวลา 2-6 ครั้งต่อสัปดาห์ สะท้อนให้เห็นว่าประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ ชื่นชอบฟิตเนสที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย และตั้งอยู่ในทำเลที่สะดวกในชีวิตประจำวัน อาทิ สถานที่ทำงาน สถานศึกษา และที่พักอาศัย สาขาของเจ็ทส์ ฟิตเนส กระจายครอบคลุมทั้งบริเวณใจกลางเมืองของกรุงเทพฯ และขณะนี้กำลังมุ่งหน้าขยายสาขาไปสู่ชานเมือง ตลอดจนจังหวัดหัวเมืองใหญ่อื่นๆ ที่มีประชากรหนาแน่น เพื่อให้สามารถใกล้ชิดและตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั่วประเทศได้ดียิ่งขึ้น
ไมเคิล เดวิด แลมบ์ กล่าวว่า เจ็ทส์ ฟิตเนส ตั้งเป้าหมายที่จะเปิดสาขาใหม่ไม่ต่ำกว่า 12 แห่งต่อปี แต่เมื่อพิจารณาจากอัตราการเติบโตในปัจจุบัน ก็มีโอกาสที่จะเปิดได้ถึง 16-18 แห่งต่อปี แต่ยังคงนโยบายในการขยายสาขาให้อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า บีทีเอสหรือเอ็มอาร์ที และตั้งอยู่ในย่านการค้าและชุมชนที่อยู่อาศัยที่มีประชากรหนาแน่นในกรุงเทพฯ ตลอดจนจังหวัดใหญ่ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ
“ครึ่งปีแรกของปี 2563 เรามีแผนที่จะเปิดสาขาเพิ่มอีก 10 แห่ง ประกอบด้วย 7 แห่งที่กรุงเทพฯ 1 แห่งที่เชียงใหม่ 1 แห่งที่ภูเก็ต และอีก 1 แห่งเพิ่มที่โคราช ซึ่งจะทำให้ เจ็ทส์ ฟิตเนส มีสาขาทั้งหมดรวม 32 แห่งทั่วประเทศภายในสิ้นปี ดังที่เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้เรายังคงเชื่อมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายที่จะเปิดสาขาให้ได้ทั้งหมด 100 แห่งในประเทศไทยภายใน 5 ปี” ไมค์กล่าว
โดย 7 สาขาใหม่ที่จะเปิดตัวในกรุงเทพฯ ตามแนวรถไฟฟ้าบีทีเอสหรือเอ็มอาร์ที ประกอบด้วย สาขา ดองกิ มอลล์ ใกล้กับบีทีเอส สถานีเอกมัย, สาขาวิคทอรี่ ฮับ ใกล้กับบีทีเอส สถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ, สาขา แอม ไชน่าทาวน์ ใกล้กับเอ็มอาร์ที สถานีวัดมังกร, สาขาอินเด็กซ์ ลิฟวิ่ง มอลล์ บนถนนพระราม 2 และสาขา เอสเจ อินฟินิท วัน บิสซิเนส คอมเพล็กซ์ ใกล้กับเอ็มอาร์ที สถานีจตุจักร และบีทีเอส สถานีหมอชิต ในส่วนของสาขาใหม่ของเจ็ทส์ ฟิตเนสในต่างจังหวัด ประกอบด้วย สาขาเซ็นทรัล เฟสติวัล ในจังหวัดภูเก็ต สาขา วัน นิมมาน ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแนวไลฟ์สไตล์ชั้นนำในจังหวัดเชียงใหม่ และสาขาที่สองในโคราชที่เซฟวัน
ด้วยไลฟ์สไตล์ของผู้คนในปัจจุบันที่เน้นความรวดเร็ว เจ็ทส์จึงได้นำเสนอบริการฟิตเนสที่สามารถตอบโจทย์ข้อจำกัดด้านเวลาและความต้องการในการแสวงหากิจกรรมออกกำลังกายที่หลากหลายให้แก่ลูกค้าในวัยทำงาน ตลอดจนออกแบบคัดสรรการออกกำลังกายที่เหมาะกับผู้สูงอายุที่ต้องการฟิตร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ พร้อมนำเสนอโซลูชั่นการออกกำลังกายแบบใหม่ที่เหมาะสมกับความต้องการของสมาชิกทุกคน เช่น โปรแกรมการออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุที่ผนวกวิธีการดูแลตัวเองเข้ากับระดับความเข้มข้นของการออกกำลังกายที่เหมาะสม เพื่อการออกกำลังกายที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
“เจ็ทส์ตระหนักดีว่าการออกกำลังกายเป็นสิ่งสำคัญ และลูกค้าของเราหลายคนชื่นชอบที่จะได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการออกกำลังกายที่หลากหลาย เราได้พัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อสร้างความแตกต่างให้กับฟิตเนสของเรา ด้วยการนำเสนออุปกรณ์ออกกำลังกายที่ทันสมัยและมีคุณภาพสูงสุด สำหรับการออกกำลังกายคนเดียว และในขณะเดียวกันก็มอบประสบการณ์การออกกำลังกายแบบกลุ่มที่หลากหลายควบคู่ไปด้วย” ไมค์กล่าว