จากตำนานสถาบันการันตีซุปไก่ “คิงส์คอลเลจ” มาเปิดในเมืองไทยแล้ว

1655

ก่อนความนิยมโรงเรียนนานาชาติจะเข้ามาสู่เมืองไทย ย้อนหลังไปราว 20-30 ปีก่อน มีสถาบันการศึกษาจากต่างประเทศอยู่สถาบันหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดีของคนไทย ในชื่อ “มหาวิทยาลัยคิงส์คอลเลจ”

แต่สิ่งที่ทำให้คนไทยรู้จักสถาบันนี้เป็นอย่างดี ไม่ใช่เรื่องหลักสูตรการเรียน หากแต่เป็นสถาบันที่การันตีคุณภาพของซุปไก่สกัดแบรนด์ใหญ่

และวันนี้ สถาบันการศึกษา คิงส์คอลเลจก็มาเปิดโรงเรียนนานาชาติในเมืองไทยเป็นที่เรียบร้อย ในระดับ Pre-nursery –Year 13 ในชื่อ โรงเรียนนานาชาติ คิงส์คอลเลจกรุงเทพ ภายใต้ความร่วมมือจากโรงเรียนคิงส์คอลเลจวิมเบิลดัน ประเทศอังกฤษ

โรงเรียนคิงส์คอลเลจวิมเบิลดัน เป็นโรงเรียน Independent Day School ในประเทศอังกฤษ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2372 ตามพระราชประสงค์ของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 4 แห่งสหราชอาณาจักร เป็นโรงเรียนที่ได้รับการยกย่องว่าดีที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ได้รับรางวัลมากมาย อาทิ Independent School of the Year, London Independent Secondary School of the Year และ IB School of the Year จาก The Sunday Times และ Best Sixth Form และ Best for IB จากThe Week  ถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในห้าสุดยอดโรงเรียนที่มีคะแนนสอบดีที่สุดของอังกฤษมาโดยตลอด นักเรียนของโรงเรียนสามารถสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด และมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ได้ปีละประมาณ 25% หรือคิดเป็น 300 คนในระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา

โดยโรงเรียนนานาชาติคิงส์คอลเลจกรุงเทพ เป็นการร่วมลงทุนระหว่างกลุ่มนักการศึกษา คณาจารย์ในเมืองไทย กับสหพัฒน์โฮลดิ้ง ที่สนับสนุนสถานที่ตั้งโรงเรียน ใช้งบลงทุนรวมราว 3,000 – 4,000 ล้านบาท เป็นโรงเรียนคิงส์คอลเลจ แห่งที่ 3 ในโลก และเป็นแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สาคร สุขศรีวงศ์ ประธานบริหารโรงเรียนนานาชาติคิงส์คอลเลจกรุงเทพ กล่าวว่า ตนมีความเชื่อมั่นว่าการศึกษาเป็นรากฐานสำคัญที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนได้ จึงใช้เวลาอยู่นานทั้งศึกษาข้อมูล เฟ้นหาโรงเรียนในประเทศอังกฤษที่มีศักยภาพระดับโลกและมีวิสัยทัศน์ที่สอดคล้องกัน จนได้พบกับ โรงเรียนคิงส์คอลเลจวิมเบิลดัน ประเทศอังกฤษ ซึ่งกลุ่มผู้บริหารโรงเรียนที่มีวิสัยทัศน์ตรงกัน

แนวทางการสอนของคิงส์คอลเลจวิมเบิลดัน ในการสร้างและพัฒนาโรงเรียน คือการปลูกฝังให้มีใจรักและใฝ่หาการเรียนรู้ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของชีวิตไม่ว่าจะอายุเท่าใด รวมถึงฝึกสอนกีฬาและจัดกิจกรรมเสริมทักษะต่างๆ เพื่อให้เด็กได้พัฒนาและเติบโตขึ้นไปเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพครบถ้วน ไม่ได้มีแต่ความเป็นเลิศทางด้านวิชาการเพียงอย่างเดียว ซึ่งเมื่อผนวกกับหลักการสอนเพื่อให้เด็กมีความตระหนักถึงคุณค่าของสังคม เด็กๆ เหล่านี้ก็จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถเป็นบุคลากรที่สร้างประโยชน์และเป็นที่ต้องการของสังคมอย่างแท้จริง

“โรงเรียนนานาชาติคิงส์คอลเลจกรุงเทพเกิดขึ้นจากการตั้งใจที่จะทำโรงเรียนให้มีคุณภาพที่ดีที่สุด ไม่เพียงแค่เป็นประโยชน์ต่อตัวนักเรียนและผู้ปกครอง แต่เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ โดยตั้งเป้าหมายที่จะสร้างโรงเรียนแห่งนี้ให้เป็นหนึ่งในโรงเรียนที่ดีที่สุดในเอเชีย และช่วยสร้างชื่อเสียงให้กรุงเทพฯ ขึ้นเป็นหนึ่งในศูนย์กลางศึกษาของภูมิภาคเอเชียต่อไป” ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สาคร กล่าว

โรงเรียนนานาชาติ คิงส์คอลเลจ กรุงเทพตั้งอยู่ใจกลางเมือง ถนนรัชดา – พระราม 3  เปิดสอนนักเรียนชายและหญิง อายุ 2-18 ปี (Pre-nursery – Year 13) และจะเริ่มเปิดรับสมัครนักเรียนสำหรับ ปีการศึกษา 2563 ชั้น Pre-nursery (อายุ 2 ปี) จนถึง Year 6 (อายุ 11 ปี) และขยายชั้นในปีต่อๆ ไป จนถึง Year 13 โดยกำหนดค่าเรียนตามมาตรฐานค่าเล่าเรียนในโรงเรียนนานาชาติทั่วไป ราว 5-6 แสนบาทต่อปี

ด้าน แอนดรูว์ ฮอลส์ ครูใหญ่โรงเรียนคิงส์คอลเลจวิมเบิลดัน ประเทศอังกฤษ กล่าวว่า โรงเรียนฯ มีวิสัยทัศน์ที่มองไปไกลกว่าเรื่องของความเป็นเลิศทางด้านวิชาการ ในปัจจุบันการพัฒนาเด็กเพื่อเตรียมความพร้อมมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก ไปจนถึงการเป็นพลเมืองที่ทรงคุณค่าของโลกในอนาคตนั้น เด็กๆ ต้องการมากกว่าความพร้อมมากกว่าสติปัญญาและวิชาการ เด็กๆ จะต้องมีความสมบูรณ์พร้อมของความประพฤติและมารยาทที่นอบน้อม (Good Manners) จิตใจที่เปี่ยมด้วยความเมตตา (Kindness) และจิตวิญญาณแห่งการใฝ่รู้สู่ปัญญา (Wisdom)

“เรามุ่งเน้นให้เด็กมีทักษะความรู้ที่รอบด้าน (Well-Rounded Talent) ผ่านการทำหลักสูตรร่วมผสม หรือ Co-curricular Programme สร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ ที่ออกแบบให้เป็นกิจกรรมที่อยู่นอกห้องเรียน เน้น 3 สิ่งสำคัญคือ ความคิดสร้างสรรค์ วิชาการ และกีฬาหรือศิลปะ เป็นหลักสูตรที่ทำควบคู่ไปกับการดูแลนักเรียนแบบ Pastoral Care ซึ่งเป็นการดูแลอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องเพื่อปลูกฝัง ‘คุณค่า’ ของนักเรียนในทุกเรื่องและทุกมิติทั้งการเรียน กีฬา กิจกรรมสันทนาการ เพื่อนำไปสู่ความสุขต่อการเรียนรู้จนนำไปสู่ผลการเรียนที่ดีในที่สุด โดยคุณครูจะดูแลนักเรียนด้วยความใส่ใจ เห็นถึงพัฒนาการของเด็กแต่ละคนต่อเนื่องไปตั้งแต่เด็กจนโต เพื่อจะส่งเสริมให้นักเรียนได้ประสบความสำเร็จในทุกๆ ด้าน โดยปราศจากความกดดันทางจิตใจและอารมณ์”

ขณะที่ ธอมัส บานยาร์ด ครูใหญ่โรงเรียนนานาชาติคิงส์คอลเลจกรุงเทพ กล่าวว่า โรงเรียนนานาชาติคิงส์คอลเลจกรุงเทพ มีความตั้งใจที่จะนำหลักการและวิธีในการพัฒนานักเรียนของโรงเรียนคิงส์คอลเลจวิมเบิลดัน มาปรับใช้เพื่อประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาให้นักเรียนที่ไทยมีคุณภาพเทียบเท่ากับโรงเรียนคิงส์คอลเลจวิมเบิลดัน ซึ่งสิ่งที่เราให้ความสำคัญเป็นอย่างมากคือ กระบวนการสรรหาบุคลากรด้านต่างๆ โดยคุณสมบัติหลักที่ต้องการคือ ความมุ่งมั่นใส่ใจ (Passion) ในการเป็นเพื่อนที่จะพานักเรียนทุกคนไปจนประสบความสำเร็จ บุคลากรทุกคนจึงต้องพร้อมจะเป็นพี่เลี้ยงที่นักเรียนสนิทใจจะพูดคุยได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน หรือเรื่องชีวิตส่วนตัว

โรงเรียนนานาชาติคิงส์คอลเลจกรุงเทพ ตั้งอยู่บนถนนรัชดา-พระราม 3 เปิดทำการเรียนการสอนในปี 2563 โดยมีห้องเรียนและห้องทดลองวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัย บนพื้นที่ใช้สอยรวมกว่า 41,000 ตารางเมตร และมีสิ่งอำนวยความสะดวกชั้นยอด อาทิ อาคารเรียนเด็กเล็ก (Early Years Centre) ที่ถูกออกแบบให้ห้องเรียนมีขนาดใหญ่ 64 ตร.ม. สนามเด็กเล่นทั้งในร่ม และกลางแจ้ง เลนจักรยาน ห้องทำอาหาร สระว่ายน้ำเด็กเล็กโดยเฉพาะ และ Splash Area, นอกจากนี้ ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสำหรับนักเรียนระดับชั้นต่างๆ อาทิ สปอร์ตฮอลล์ขนาด 3 สนามบาสเกตบอลที่มีการติดตั้งระบบปรับอากาศ, สระว่ายน้ำในร่ม ระบบน้ำเกลือ ขนาดโอลิมปิค 50 เมตร, ห้องประชุมเอนกประสงค์ขนาด 150 และ 600 ที่นั่ง, พื้นที่สำหรับกิจกรรมในร่มกว่า 2,000 ตารางเมตร และอาคารที่จอดรถพร้อมที่จอดรถในร่มจำนวน 250 คัน เปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 30 มิ.ย. เป็นต้นไป ผู้ปกครองสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ admissions@kingsbangkok.com หรือ www.kingsbangkok.com

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สาคร สุขศรีวงศ์ กล่าวว่า โรงเรียนนานาชาติคิงส์คอลเลจกรุงเทพ ตั้งเป้าจำนวนผู้เรียนในปีแรก 200 คน โดยขณะนี้ก็เริ่มมีผู้ปกครองติดต่อเข้ามาแล้วเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของคิงส์คอลเลจกรุงเทพ ไม่ได้มองที่จะแข่งขันกับโรงเรียนนานาชาติอื่นๆ แต่มุ่งที่จะสร้างหลักสูตรที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ปกครองให้ได้มากที่สุด และสร้างเด็กไทยให้เป็นพลเมืองที่ทรงคุณค่า และร่วมสร้างสรรค์โลกแห่งอนาคต