“นีโอสุกี้” เปิดแผน 5 ปี! เข้าจดทะเบียนในตลาดฯ เอ็มเอไอ-ดึงแบรนด์ยุโรป-มะกันเสริมพอร์ต

2664

ประกาศรีแบรนด์ดิ้งครั้งใหญ่ในวาระครบรอบ 18 ปีของการดำเนินงานไปเมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา สำหรับบริษัท นีโอ สุกี้ไทยเรสเทอรองส์ จำกัด โดยเปลี่ยนธีมใหม่โดยเฉพาะโลโก้ที่เน้นไปที่แบรนด์อินไซด์ เน้นเส้นสายที่ดู Home Made มีความสากลมากขึ้น ยึดหลักศาสตร์ของสีและมีการคุมโทนสีที่ดีให้ลูกค้าจดจำให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้ยังทำลายเซ็นของแบรนด์ให้มีความชัดเจนมากขึ้นเพื่อให้เข้าถึงอินไซด์ของลูกค้า

พร้อมทั้งมุ่งเน้นสร้างความต่าง ชูความหลากหลาย คุณภาพสินค้า และความเอาใจใส่ในเรื่องคุณภาพวัตถุดิบ ในขณะที่ราคาไม่สูงมาก รวมไปถึงการบริการที่ดี ซึ่งสามารถตอบสนองกับกลุ่มลูกค้าได้เป็นอย่างดี

ณัฐพล  กัปปิยจรรยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท นีโอ สุกี้ไทยเรสเทอรองส์ จำกัด

ตั้งเป้าปี’65 เข้าจดทะเบียนในตลาดเอ็มเอไอ

“ณัฐพล  กัปปิยจรรยา” กรรมการผู้จัดการ บริษัท นีโอ สุกี้ไทยเรสเทอรองส์ จำกัด ผู้บริหารนีโอสุกี้ เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานและทิศทางของธุรกิจในอนาคตว่า ภายใน 5 ปีนี้บริษัทฯ มีแผนจะเข้านำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ ผ่านบริษัทในเครือที่ประกอบกิจการร้านอาหารและการขนส่ง ประกอบด้วย 1.นีโอ สุกี้ไทย เรสเทอรองส์ 2.กังฟู ฟู้ดแอนด์เบฟเวอเรจ และ 3.นีโอสยาม โลจิสติกส์ ทั้งนี้ เพื่อระดมทุนในการดำเนินธุรกิจต่อไปในอนาคต ขณะเดียวกันยังได้เตรียมลงทุนเพิ่มอีกราว 150 ล้านบาทสำหรับธุรกิจ

โดยล่าสุดได้ลงทุนตั้งโรงงานในจังหวัดนนทบุรี มูลค่า 50 ล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต เนื่องจากที่โรงงานพระราม 3 มีกำลังการผลิตจำกัด จึงไม่เพียงพอต่อธุรกิจการขยายตัวของธุรกิจ

เตรียมเสริมแบรนด์อีก 2 แบรนด์

นอกจากนี้ ยังคาดว่าจะนำแบรนด์ใหม่มาเสริมอีกประมาณ 2 แบรนด์ รวมกับที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน 3 แบรนด์ ประกอบด้วย นีโอสุกี้, กังฟู และซุนวูบาร์บีคิว ซึ่งได้เริ่มต้นปั้นแบรนด์มาเมื่อปีที่ผ่านมา รวมเป็น 5 แบรนด์ โดยเน้นที่เป็นแบรนด์ที่มาจากยุโรปและอเมริกา และเน้นอาหารที่รับประทานง่าย เหมาะกับพฤติกรรมผู้บริโภคกลุ่มคนรุ่นใหม่

ส่วนการลงทุนใหม่ ในประเทศจะเน้นหนักไปที่โซนบางซื่อ บางนา ลาดพร้าว  ส่วนในต่างจังหวัดคาดว่าจะเป็น ขอนแก่น และ นครราชสีมา โดยจะเน้นเข้าห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ที่ทำการตลาดมาอย่างดีแล้ว

ชูจุดขายด้าน “คุณภาพ” ยันไม่แข่งราคา

“ณัฐพล” ยังบอกด้วยว่า ปัจจุบันจุดแข็งของนีโอสุกี้ยังคงเน้นด้านคุณภาพเพื่อต่อสู้กับคู่แข่ง จะไม่เน้นการแข่งขันเรื่องของราคา ส่วนการวางตำแหน่งสินค้าของนีโอสุกี้ คือ สุกี้ โฮมเมด คัดสรรวัตถุดิบที่ดีที่สุดมาเพื่อผู้บริโภค โดยมองว่าเทรนด์ในอนาคตกระแสบุฟเฟ่ต์จะลดลง แต่แบรนด์ที่ทำบุพเฟ่ต์จะอยู่ได้ต้องเป็นแบรนด์ที่เน้นจะตลาดบน ส่วนตลาดกลาง-ล่าง แข่งขันลำบาก และอาจทำให้ผู้ประกอบการรายเล็กปิดตัวลง

“การแข่งขันในตลาดจะมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ดังนั้นจะปรับตัวด้วยการรักษาคุณภาพให้ดี รักษาฐานลูกค้าเดิมให้ได้ โดยมั่นใจว่าธุรกิจจะเติบโต 12-15% หรือมีรายได้ 370-400 ล้านบาท โดยปัจจัยบวกที่ทำให้เติบโต คือ การขยายสาขา และเทรนด์คนรักสุขภาพยังคงแรงต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายว่า ลุ่มบริษัท นีโอกรุ๊ป จะมีรายได้ไว้ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาทและผลักดันบริษัทให้เข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2565”

ส่วนปัจจัยลบที่น่าเป็นห่วงคือ เศรษฐกิจไทยเติบโตไม่กระจายตัว เช่นการส่งออกที่เติบโตเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรม ทำให้เงินไม่กระจายมาถึงระบบเศรษฐกิจที่แท้จริง ไม่ก่อให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังต้องรอท่าทีทางการเมือง หากมีการเลือกตั้งนักลงทุนจะเข้ามาไทยมากขึ้น ทำให้เกิดการจ้างงาน และมีเงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจมากขึ้น

ตลาดสุกี้เมืองไทยพุ่ง 1.5 หมื่นล้านบาท

สำหรับมูลค่าตลาดสุกี้ในปัจจุบันนั้น “ณัฐพล” ประเมินว่า ตลาดสุกี้ในเมืองไทยมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 15,000 ล้านบาท ภาพรวมการเติบโตของตลาดรวมอยู่ที่ 10 % ต่อปี โดยนีโอสุกี้มีส่วนแบ่งทางการตลาดสุกี้ที่เป็น alacarte เป็นอันดับ 2 โดยแผนธุรกิจจะยังคงเดินหน้าลงทุนใหม่เรื่อยๆ ซึ่งในปลายปีนี้จะลงทุนเพิ่มอีก 1 สาขา ใน จ.เชียงใหม่  ซึ่งจะทำให้บริษัทจะมีสาขาทั้งสิ้นภายในปี 21 สาขา

นอกจากนี้ ยังขายแฟรนส์ไชส์ให้กับผู้ประกอบการในอินโดนีเซีย และเวียดนาม อีก 2 สาขา โดยเฉพาะตลาดเวียดนามที่พบว่าผลตอบรับค่อนข้างดีมาก เนื่องสาขาตั้งอยู่ใกล้แหล่งนิคมอุตสาหกรรม

ปี60 รายได้ 200 ล้าน-กำไรแค่ 6 ล้านบาท

www.362degree.com ได้ตรวจสอบข้อมูลผลประกอบการในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จากกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพานิชย์ พบว่า บริษัท นีโอ สุกี้ไทยเรสเทอรองส์ จำกัด มีผลประกอบการ ทั้งในแง่ของรายได้รวมและกำไรสุทธิที่ต่ำมาก

โดยในปี 2556 มีสินทรัพย์รวม 19.36 ล้านบาท มีรายได้รวม 49.03 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 4.78 ล้านบาท

ปี 2557 มีสินทรัพย์รวม 21.91 ล้านบาท มีรายได้รวม 58.35 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 11.82 ล้านบาท

ปี 2558 มีสินทรัพย์รวม 33.12 ล้านบาท มีรายได้รวม 104.87 ล้านบาท  มีกำไรสุทธิ 3.33 แสนบาท

ปี 2559 มีสินทรัพย์รวม 33.55 ล้านบาท มีรายได้รวม 127.37 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 5.24 แสนบาท

และ ปี 2560 มีสินทรัพย์รวม 70.45 ล้านบาท มีรายได้รวม 208.37 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 6.36 ล้านบาท