กลางปี 2560 ที่ผ่านมา “พีเอช แคปปิตอล” บริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท พีเอ็ม แคปปิตอล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทภายใต้การบริหารของตระกูล “มหากิจศิริ” ได้ซื้อลิขสิทธิ์ในการบริหารแฟรนไชส์ “ร้านพิซซ่า ฮัท” ในประเทศไทยจากบริษัท “ยัม เรสเทอรองตส์” มาบริหารเองทั้งหมด ในระยะสัญญาทั้งสิ้น 20 ปี
เป็นการปูฐานเพื่อขยายธุรกิจด้านอาหาร เพราะเป็นกลุ่มธุรกิจที่ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมหาศาล โดยใช้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มแบรนด์ระดับโลกมาเป็นเวลานาน และเป็นพันธมิตรกับแบรนด์ระดับโลกอย่างเนสท์เล่ มากว่า 40 ปีนั้นจะช่วยให้มีศักยภาพในการสร้างให้ธุรกิจทั้งในส่วนของร้านพิซซ่า ฮัท และธุรกิจอาหารดั้งเดมที่มีอยู่แล้วเกิดการเติบโตเพิ่มขึ้นได้อย่างก้าวกระโดดได้ในเวลาอันรวดเร็ว
เร่งสร้างการรับรู้ภาพลักษณ์ใหม่ “พิซซ่า ฮัท”
พร้อมทั้งทำการปรับเปลี่ยนโลโกให้มีความทันสมัยมากขึ้น เพื่อสร้างการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ควบคู่กับการปรับโฉมร้านคอนเซ็ปต์ใหม่ในธีมสีดำ-ขาว เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ไปยังกลุ่มเป้าหมาย อีกทั้งยังเป็นการเน้นเจาะกลุ่มวัยรุ่นมากขึ้น จากเดิมที่ลูกค้าหลักเป็นกลุ่มครอบครัวเป็นหลัก
เฉลิมชัย มหากิจศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่และซีอีโอ โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์
“เฉลิมชัย มหากิจศิริ” กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA กล่าวว่า หลังจากที่บริษัท พีเอช แคปปิตอล บริษัทในเครือได้รับสิทธิ์บริหารร้านอย่างเต็มตัวเมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2560 ที่ผ่านมา ธุรกิจพิซซ่าฮัทเติบโตในระดับที่น่าพอใจ แม้ว่าร้านอาหารบริการด่วนมีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคมีตัวเลือกมากขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดว่าปีนี้ธุรกิจพิซซ่าจะเติบโตได้อีก
ดังนั้น โจทย์ของ “พิซซ่า ฮัท” จึงต้องพยายามสร้างการรับรู้และขยายฐานลูกค้าให้มากขึ้น ให้ “พิซซ่า ฮัท” เป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในใจของลูกค้าคนไทยให้สำเร็จ พร้อมทั้งมีแผนเดินหน้าขยายสาขาเพิ่มต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคในกรุงเทพฯ ปริมณฑลและต่างจังหวัด
ทุ่ม 1 พันล้านขยายสาขาเพิ่มเท่าตัวภายใน 3 ปี
โดยบริษัทฯ มีแผนที่จะลงทุนต่อเนื่องอีกราว 1,000 ล้านบาทสำหรับขยายสาขาเพิ่มภายในระยะเวลา 3 ปี (2561-2563) หรือมีสาขาเพิ่มเป็น 200 สาขา หรือเพิ่มขึ้นเท่าตัว จากปัจจุบันที่เปิดให้บริการไปแล้วประมาณ 100 สาขา โดยจะเปิดเพิ่มอีกประมาณ 20 สาขาภายในปี 2561 จากเมื่อต้นปีเปิดให้บริการไปแล้ว 13 สาขาใหม่ ซึ่งคาดว่าสิ้นปีจะมีร้านพิซซ่าฮัท ทั้งสิ้นราว 128 สาขา ทั่วประเทศ จากปัจจุบันที่มี 121 สาขา แบ่งเป็นกรุงเทพฯและปริมณฑล 79 สาขา และต่างจังหวัด 42 สาขา
ทั้งนี้ จะเน้นการขยายสาขาเข้าไปในพื้นที่ต่างจังหวัดตามหัวเมืองหลัก หรือจังหวัดที่มีจำนวนประชากรอาศัยอยู่จำนวนมาก และพื้นที่ที่มีนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกเข้ามาเป็นจำนวนมาก เนื่องจากมองว่าตลาดพิซซ่าในต่างจังหวัดยังมีช่องว่างทางการเติบโตสูง กลุ่มเป้าหมายในแต่ละพื้นที่รู้จักแบรนด์พิซซ่า ฮัท เป็นอย่างดี จากการสื่อสารแบรนด์ตลอดช่วงเวลาที่พิซซ่า ฮัท อยู่ในตลาดเมืองไทยมา
โดยปัจจุบันพื้นที่ต่างจังหวัดที่บริษัทฯ ได้เข้าไปลงทุนเปิดสาขาแล้ว อาทิ เชียงใหม่, ภูเก็ต, พัทยา, นครราชสีมา เป็นต้น โดยวางเป้าหมายในอีก 3 ปี สัดส่วนสาขาในต่างจังหวัดและกรุงเทพฯ จะอยู่ที่ 50:50 จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนสาขาในกรุงเทพฯ 70% และต่างจังหวัด 30%
“อุษณา มหากิจศิริ” กรรมการบริษัท พีเอช แคปปิตอล จำกัด
ภาพจาก : www.glamthailand.com
ชู “นวัตกรรมสินค้า-ราคาคุ้มค่า” มัดใจผู้บริโภค
ด้าน “อุษณา มหากิจศิริ” กรรมการบริษัท พีเอช แคปปิตอล จำกัด เจ้าของเฟรนไชส์พิซซ่าฮัท ประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทฯ ได้เปิดโมเดลการตลาด ภายใต้ชื่อ Pizza Hut 4.0 Innovation & Digital Experience เน้นในเรื่องของการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ทั้งในแง่สินค้า การบริการออนไลน์หนุนบริการเดลิเวอร์รี่ที่รวดเร็ว พร้อมโปรแกรมรอยัลตี้ และการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับกลยุทธ์ในการรักษาฐานลูกค้าและขยายแบรนด์สู่กลุ่มลูกค้าใหม่ คือ จะเน้นเรื่องการพัฒนารสชาติของพิซซ่า ใหม่ๆ ที่ถูกใจลูกค้าคนไทย ด้วยวัตถุดิบที่นำเข้าจากต่างประเทศ Sauce ที่เป็นสูตรเฉพาะ Signature ของ Pizza Hut / Cheese ที่มาจาก New Zealand ที่รู้จักกันดีว่าเป็นชีสที่ดีที่สุดของโลก นอกจากนี้ จะยังคงเดินหน้าสร้างสรรค์เมนูพิซซ่าหน้าใหม่ๆ ที่ถูกปากคนไทยอยู่เสมอ ปีที่ผ่านมา เมนูใหม่นำเสนอมา 10 กว่าเมนูแล้ว และปีนี้ก็จะมีอีก
โดยล่าสุดเปิดตัว เมนู “มีทแอนด์ชีส-ชิกแอนด์ชีส” ซึ่งเป็น 2 หน้าใหม่ ในราคาลดพิเศษถาดแรกจาก 299 บาท ลดเหลือ 199 บาท และถาดที่ 2 ลดเหลือเพียงแค่ 99 บาท ซึ่งบริษัทฯ มั่นใจว่าสามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่ต้องการลิ้มรสความอร่อยอย่างเต็มสูตรเต็มคำที่พิซซ่าฮัทจะจัดให้ได้แน่นอน
นอกจากนี้ ยังได้สร้างประสบการณ์ใหม่ให้แก่ผู้บริโภคในประเทศไทยเป็นแห่งแรกของโลก ด้วยการคิดค้นเมนู “อาติซาน พิซซ่า” เป็นพรีเมี่ยมพิซซ่าที่มีให้เลือกถึง 5 หน้า ได้แก่ พิซซ่า พาร์ม่าแฮม, พิซซ่า สไปซี่ เยอรมัน ซอสเซจ, พิซซ่า ซีฟู้ด ซิมโฟนี, พิซซ่า ไวท์ ทรัฟเฟิล ชิกเก้น และพิซซ่า มาร์เกริต้า ซึ่งล้วนเหมาะสำหรับแฟนพิซซ่าตัวจริงในราคาที่คุ้มค่าอย่างมากด้วย
“โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์” ถือหุ้นใหญ่ 70%
สำหรับ บริษัท พีเอช แคปปิตอล จำกัด นั้นจากข้อมูลของกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า จดทะเบียนบริษัทเมื่อ 9 กุมภาพันธ์ 2560 ด้วยทุนจะทะเบียน 60 ล้านบาท และได้เพิ่มเป็น 460 ล้านบาท เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2560 และเพิ่มเป็น 660 ล้านบาท เมื่อวันที่26 กุมภาพันธ์ 2561 ที่ผ่านมา
ปัจจุบันมีกรรมการ จำนวน 3 คน ประกอบด้วย นายอี้ง คิด เหว่ย, นายจิเทนเดอร์ พอล เวอร์มา และนางสาวอุษณา มหากิจศิริ
ในส่วนของรายชื่อผู้ถือหุ้นนั้น ณ วันที่ 30 เมษายน 2561 มีจำนวนผู้ถือหุ้น 3 ราย ได้แก่ 1. บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) สัดส่วน 70% (มูลค่าหุ้น 10 บาท) คิดเป็นมูลค่า 321,999,99. บาท 2. บริษัท พีเอ็ม แคปปิตอล จำกัด สัดส่วน 30% (มูลค่าหุ้น 10 บาท) คิดเป็นมูลค่า 138,000,000 บาท และ 3. นายอี้ง คิด เหว่ย สัดส่วน 1% (มูลค่าหุ้น 10 บาท) คิดเป็นมูลค่า 10 บาท รวมเป็นมูลค่า 460 ล้านบาท