“Tomorrow is Unfolded” เป้าท้าทายอนาคตของแสนสิริ

1314

ช่วงอายุ33 ปี ของแสนสิริ แบรนด์อสังหาริมทรัพย์แถวหน้าของเมืองไทย แม้จะมีช่วงขึ้น หรือช่วงลง ผ่านเข้ามา แต่เชื่อว่า คงไม่มีช่วงเวลาใดที่ผู้บริหารองค์กรนี้จะรู้สึกท้าทายอนาคตได้เท่าเวลานี้

เพราะวันนี้ทุกธุรกิจไม่ได้แข่งขันกับคู่แข่งในธุรกิจเดียวกันเท่านั้น แต่ต้องเผชิญกับคู่แข่งรายใหม่ที่น่ากลัวกว่าเดิมหลายเท่า  ที่เรียกว่า “เทคโนโลยี”

และแม้วันนี้ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะยังไม่เจอการคุกคามของเทคโนโลยีชัดเจนเหมือนเช่นธุรกิจสื่อ ธุรกิจเพลง และสถาบันการเงิน ที่กำลังระส่ำ แต่ อุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ก็ยอมรับว่า คงไม่สามารถวางใจได้

ในปีที่ผ่านมา แสนสิริวางแนวคิด Journey for Tomorrow ที่มุ่งเน้นการปฏิวัติองค์กรอย่างรอบด้าน เตรียมพร้อมการก้าวไปกับเทคโนโลยี ทั้งการเปิดโครงการใหม่ที่ครอบคลุมตลาดทุกเซ็กเม้นต์ ไม่ได้เน้นตลาดระดับบนเพียงอย่างเดียวเหมือนในอดีต  การขยายตลาดผู้ซื้อออกไปต่างประเทศ  ความร่วมมือกับกลุ่มเทคโนโลยี ไลฟ์สไตล์ และสตาร์ทอัพที่สามารถต่อยอดกับธุรกิจของแสนสิริจากทั่วโลก และการนำเทคโนโนยี AI มาใช้ในการให้บริการลูกบ้าน

โดย 14 โครงการ ที่เปิดตัวในปีที่แล้ว มีมูลค่าราว 37,200 ล้านบาท สามารถทำยอดพรีเซลล์สูงถึง 38,600 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 24% จากปีที่ผ่านมา ถือเป็นความสำเร็จจากการขยายฐานลูกค้าได้อย่างครอบคลุมทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ซึ่งในต่างจังหวัดสามารถปิดการขายได้ 100% ในทั้ง 13 โครงการที่เปิดตัว รวมมูลค่าโครงการ 18,330 ล้านบาท เติบโตขึ้น 8,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 36% จากปี 2559  รวมทั้งในลูกค้าต่างชาติ สามารถทำยอดขายตลาดต่างชาติในปี 2560 ได้ถึง 9,300 ล้านบาท เกินจากเป้ายอดขายที่วางไว้ 7,500 ล้านบาท และเติบโตขึ้นถึง 72% เมื่อเทียบจากปี 2559

สำหรับในปี 2561  อุทัยกล่าวว่า แสนสิริมองเห็นเทรนด์สำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยจะส่งสัญญาณที่ดีให้กับตลาดอสังหาริมทรัพยย์  ด้านผู้บริโภคมีไลฟ์สไตล์เปลี่ยนไปให้ความสำคัญกับประสบการณ์แปลกใหม่ sharing economy trend มีผลต่อการใช้ชีวิตต่างจากรูปแบบเดิมๆ และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีจะก่อให้เกิดทั้งโอกาสใหม่ๆและการ disruption ต่อหลายธุรกิจ ใครที่สามารถปรับตัว นำเสนอสิ่งที่โดนใจลูกค้าได้ก่อน และเป็นผู้กำหนด trend จะเป็นผู้ชนะในการทำธุรกิจ

“เราเชื่อว่าปัจจัยเหล่านี้จะกระตุ้นการขยายตัวของตลาดและเพิ่มกำลังซื้อของผู้บริโภค ดังนั้นในปีนี้เราจึงมุ่งนำเสนอโครงการรวมถึงการบริการที่หลากหลาย สร้างประสบการณ์แปลกใหม่ ให้สอดรับกับความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม พร้อมเดินหน้าขยายฐานลูกค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัด และต่างประเทศ ที่สำคัญคือการสานต่อการเป็นพันธมิตรกับบริษัทชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศทั้งรายใหม่และเก่า” อุทัย กล่าว

โดยแนวทางในการดำเนินธุรกิจของแสนสิริในปี 2561 ได้วางคอนเซปต์  “Tomorrow is Unfolded” ที่จะพาแสนสิริสร้างสถิติใหม่ทั้งเป้ายอดขาย และมูลค่าการเปิดตัวโครงการใหม่  ประกอบด้วย

รุกตลาดต่างชาติเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด และรักษาความเป็นที่หนึ่งในตลาดต่างประเทศ โดยมีการตั้งเป้ายอดขายเพิ่มขึ้น 40% จากปีที่ผ่านมา  เป็น 13,000 ล้านบาท  โดยต้นปีที่ผ่านมาแสนสิริ มีการเปิดสำนักงานในต่างประเทศเพิ่มขึ้นแห่งที่ 6 ที่ฮ่องกง รวมทั้งกำลังมองความเป็นไปได้ที่จะขยายสู่ตลาดอื่นๆ เช่น เกาหลี ไต้หวัน และสร้างฐานที่แข็งแกร่งมากขึ้นในญี่ปุ่น

สานต่อกลยุทธ์การเติบโตอย่างก้าวกระโดด ด้วยการเป็นพันธมิตรกับบริษัทชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศ สำหรับกลุ่มโครงการที่อยู่อาศัย จะมีโครงการใหม่จากการลงทุนร่วมกับบีทีเอสและโตคิว กรุ๊ป อีกประมาณ 4-6 โครงการ มีมูลค่ารวมประมาณ 12,000-19,000 ล้านบาท   รวมทั้งยังมีแผนเปิดโครงการที่พักอาศัย The Standard Residence และ Monocle Residence เป็นครั้งแรกของโลก

ส่วนในกลุ่มธุรกิจใหม่ที่แสนสิริได้ร่วมลงทุน อย่าง JustCo   บริษัท Coworking Space จากสิงคโปร์ ก็เตรียมเปิด 4 สาขา โดย 2 สาขาแรกตั้งอยู่ที่อาคาร AIA สาทร ในเดือนพฤษภาคม และอาคาร All Seasons Place ในเดือนสิงหาคม  ส่วน Hostmaker  บริษัทผู้ให้บริการบริหารการเช่าที่พักอาศัยและผู้บริหารการจองที่พักอันดับหนึ่งของ Airbnb จากอังกฤษ จะเข้ามาช่วยบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ให้แก่ลูกบ้านและสร้างเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ

การรุกตลาดทาวน์เฮ้าส์ สอดรับกับเทรนด์คนรุ่นใหม่ที่มีแนวโน้มซื้อโครงการทาวน์เฮ้าส์มากขึ้นประกอบกับความต้องการของทาวน์เฮ้าส์ในตลาดนั้นสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยในปีนี้แสนสิริจะเปิดตัวโครงการทาวน์เฮ้าส์ใหม่ทั้งหมด 11 โครงการ รวมมูลค่า 9,600 ล้านบาท

เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมเซ็กเม้นต์ใหม่ 4 โครงการ ที่มีดีไซน์เฉพาะตัวออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ รวมถึงการสร้าง Lab Room และ Lab House ในชื่อ Haus 2025 สำหรับการทดสอบห้องและบ้านเพื่ออนาคต โดยรวมถึงการทดสอบนวัตกรรมและเทคโนโลยี

การสานต่อ Digital Transformation ที่แสนสิริมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ปีนี้มุ่งเน้น 3 ด้าน เริ่มจากการพัฒนาเทคโนโลยีและมองหานวัตกรรมที่นำมาต่อยอดได้สำหรับลูกค้าทุกกลุ่ม  การลงทุนต่อยอดโดยมีสิริ เวนเจอร์สเป็นหน่วยงานหลัก ด้วยแผนลงทุนระยะยาว 3 ปี งบประมาณทั้งสิ้น 1,500 ล้านบาท เน้นการลงทุนในสตาร์ทอัพ ความร่วมมือในการผลักดันการสร้างระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพ ร่วมกับเครือข่ายนวัตกรรมระดับโลก อาทิ SOSA และ Plug and Play  รวมไปถึงการพัฒนาต่อยอดนวัตกรรมเพื่อพัฒนา Home Service Application ยกระดับความสะดวกสบายและการใช้ชีวิตของลูกค้า

ด้านโครงสร้างภายในองค์กร จะมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้การทำงานนั้นมีความคล่องตัวและก้าวเท่าทันยุคดิจิทัล โดยการมุ่งเน้นทั้ง 3 ด้านนี้ จะทำให้เกิดผลงานเป็นรูปธรรมได้แก่  Product – นำเทคโนโลยีสุดล้ำอย่าง AI, IoT, Wearable และ Robot มาใช้สร้างนวัตกรรมเพื่อการใช้ชีวิตที่สะดวกขึ้นสำหรับลูกบ้านแสนสิริ

ด้านการบริการ ยกระดับการบริการลูกค้าเพื่อให้สะดวกสบาย รวดเร็วมากขึ้น ผ่าน Home Service Application 2.0 พร้อมฟังก์ชัน Thai Voice Command ที่พร้อมเปิดตัวให้ลูกบ้านทุกคนใช้ในไตรมาส 1 ปีนี้

– ด้านการทำงานภายในองค์กร  มีการนำระบบ Salesforce เข้ามาใช้ เพื่อพัฒนาระบบการทำการตลาด รวมถึงระบบการบริการลูกค้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการนำระบบ Primavera ที่ช่วยควบคุมขั้นตอนการก่อสร้าง มาใช้ในองค์กรเป็นครั้งแรก

การเดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรสู่อนาคต ผ่าน 3 แนวคิด ได้แก่ 1) การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) เพื่อต่อยอดการพัฒนาโครงการและบริการในอนาคต 2) การปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานแบบใหม่ที่สร้างแรงจูงใจให้บุคลากรพร้อมดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่ให้มาร่วมงานกับแสนสิริ หนึ่งในแนวคิดที่แสนสิริใช้ตอนนี้คือ Every Day is Friday ทำให้บุคลากรมีความสุขและมีความกระตือรือร้นในการทำงานในทุกๆ วัน นอกจากนี้ยังมีการนำวิธีการทำงานแบบ Agile way of working มาใช้ โดยเป็นรูปแบบการทำงานที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ลดขั้นตอนการทำงานที่ยุ่งยาก มีอิสระทุกการทำงาน และเปิดรับทุกความคิดสร้างสรรค์โดยเอาความต้องการลูกค้าเป็นหัวใจสำคัญ  และ 3) การสร้างความมั่นคงในการทำงาน (Life-long Employability) มุ่งสร้างเสริมพัฒนาบุคลากรของแสนสิริให้มีคุณค่า มีความสามารถเติบโตไปสู่ความสำเร็จพร้อมกับองค์กรอีกด้วย

นอกจากนี้แสนสิริมีแผนเปิดตัวโครงการ “New Generation of Young Designer” เพื่อเปิดรับเด็กรุ่นใหม่ที่พกพาไอเดียที่น่าสนใจมาผนวกกับความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของแสนสิริ เพื่อพัฒนาโครงการและบริการที่ตรงใจคนรุ่นใหม่ได้ดียิ่งขึ้น

เดินหน้าวิสัยทัศน์ขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืน (Sustainability) แสนสิริมุ่งสร้างความยั่งยืนภายในองค์กรผ่าน 3 แกนหลัก ได้แก่  Environment – อาทิ ลดการใช้กระดาษ (Paperless) ลดคาร์บอน ฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) ผ่านการลดขั้นตอนการทำงานที่ไม่จำเป็น เป็นต้น   Social – ที่ผ่านมาแสนสิริได้ร่วมกับยูนิเซฟเพื่อพัฒนาสิทธิเด็กในประเทศไทยมานานกว่า 7 ปีแล้ว และยังจัดกิจกรรมสำหรับเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของเด็กในไซต์งานก่อสร้าง นอกจากนี้ยังเน้นการออกแบบโครงการต่างๆ ให้ทุกคนสามารถใช้งานได้เท่าเทียมกัน หรือที่เรียกว่า Universal Design  และ Good Governance – ยึดหลักธรรมาภิบาลในการดำเนินงานอย่างโปร่งใส ถูกต้อง

อุทัยกล่าวว่า  ปี 2561 นี้ จะเป็นอีกหนึ่งปีที่ท้าทายสำหรับแสนสิริ ด้วยทิศทางการรุกตลาดเต็มสปีดด้วยเป้าพรีเซลล์ 45,000 ล้านบาท สูงที่สุดจากเท่าที่แสนสิริเคยทำได้  โดยมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่มากถึง 31 โครงการ รวมมูลค่า 63,200 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 12 โครงการ รวมมูลค่า 33,500 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 53%  บ้านเดี่ยว 8 โครงการมูลค่ารวม 20,100 ล้านบาทคิดเป็น 32% และทาวน์เฮ้าส์รวม 11 โครงการรวมมูลค่า 9,600 ล้านบาทคิดเป็น 15%

“จากเทรนด์การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ปัจจัยเกื้อหนุนในทางบวก รวมทั้งทิศทางที่เป็นรูปธรรมในการดำเนินธุรกิจสำหรับปี 2561 เรามั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายพรีเซลล์ที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน นอกจากนี้แสนสิริยังพร้อมเดินหน้าสร้างปรากฎการณ์ใหม่ๆ ให้แก่วงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ผ่านโครงการแนวใหม่ หรือ นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยที่ไม่เคยมีมาก่อน รวมถึงการสร้างชื่อให้แบรนด์แสนสิริกลายเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่น่าจับตามองในตลาดต่างประเทศอีกด้วย”

บทวิเคราะห์หุ้น แสนสิริ (SIRI) ของเมย์แบงก์ กิมเอ็ง เมื่อวันที่ 30 มกราคมที่ผ่านมา มองว่าแผนทั้งการเปิดตัวและเป้า Presales ของปีนี้เป็นการตั้งเป้าที่ Challenging โดยเป็นการทำ New Record High และต้องรอดูกลยุทธ์ใหม่และ partner ใหม่ที่ SIRI ได้มาทั้งโตคิวและธุรกิจอื่นที่ร่วมลงทุนไปปลายปีก่อนที่จะเริ่มเติมเต็มกลยุทธ์ของปีนี้  โดยจุดอ่อนของปีนี้คือ ทิศทางผลประกอบการที่คาดว่าจะฟื้นตัวไม่มากและยังกดดันด้วยระดับของ CAGR (Compound Average Growth Rate) การหาค่าอัตราเติบโตแบบทบต้นโดยเฉลี่ยต่อปี  ย้อนหลัง 4 ปี ที่ไม่เติบโต