เมื่อพูดถึง กลุ่มบีจี หรือ บางกอกกล๊าส ที่มีอายุมากว่า 4 ทศวรรษก่อน คือการเป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ขวดแก้วรองรับการใช้งานของบริษัทแม่ บุญรอด บริวเวอรี่ เป็นหลัก จนถึงปัจจุบัน บางกอกกล๊าส คือผู้นำในการผลิตบรรจุภัณฑ์แก้วที่มีส่วนแบ่งในตลาดเป็นอันดับ 1 ราว 39%
แต่วันนี้ บางกอกกล๊าสไม่ได้มีแค่ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ขวด บรรจุภัณฑ์อื่น ทั้งขวดพลาสติก ลังกระดาษ กล่องกระดาษ ลังพลาสติก ไปถึงฝาจีบ ฝาพลาสติก ก็อยู่ในขอบข่ายธุรกกิจของกลุ่มบีจีที่ขยับขยายมาในช่วงตลอด 40 ปีมานี้
และในปี 2557 กลุ่มบีจี มีการวางแผนรุกเข้าสู่ธุรกิจกระจก ด้วยการเป็ผู้แทนนำเข้ากระจกจากจีน และเวียดนาม เข้ามาทำตลาดในเมืองไทย พร้อมๆ กับแผนการสร้างโรงงานกระจกเพื่อผลิตกระจกเป็นแบรนด์แรกของไทย ล่าสุด ในปีนี้ โรงงานผลิตกระจกของกลุ่มบีจี ที่รับผิดชอบโดยบริษัท บีจี โฟลต กล๊าส หรือ บีจีเอฟ ก็สามารถเดินเครื่องเปิดกำลังผลิตมาตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
สมพร เต็มอุดมสมบูรณ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานผลิต บริษัท บางกอกกล๊าส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บีจีเอฟ เป็นแบรนด์กระจกของคนไทยรายเดียวในปัจจุบัน จุดเริ่มต้นมาจากวิสัยทัศน์ของ คุณปวิณ ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการ ที่ต้องการให้บีจีเป็นผู้นำด้านธุรกิจแก้วครบวงจร จึงเริ่มมีการจัดจำหน่ายกระจกจากต่างประเทศ จนเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงได้ขยายมาเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายกระจกภายใต้แบรนด์บีจีเอฟ
โดยโรงงานผลิตกระจกบีจีเอฟ กบินทร์บุรีกล๊าส ปราจีนบุรี มีกำลังการผลิต 2.19 แสนตันต่อปี งบประมาณการก่อสร้างมูลค่ากว่า 5 พันล้านบาท ถือเป็นโรงงานผลิตกระจกที่ทันสมัยที่สุดในอาเซียน มีจุดเด่นสำคัญของโรงงาน คือความร่วมมือที่มีกับพันธมิตรระดับโลก บริษัท กลาส เทรอช โฮลดิ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายกระจกรายใหญ่ จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีการนำทีมผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยพัฒนาเทคโนโลยีให้ทันสมัย ยกระดับกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งบีจีเอฟเป็นรายแรกในประเทศที่นำเทคโนโลยีการผลิตกระจกเคลือบแบบ Hard coat มาใช้ รวมถึงเทคโนโลยีการตรวจสอบคุณภาพของกระจก ผ่านเครื่องตรวจสอบความหนา และสแกนหาสิ่งปนเปื้อนในกระจกก่อนส่งไปถึงลูกค้า ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าในคุณภาพ และมาตรฐานของผลิตภัณฑ์
สมพรกล่าวต่อว่า ปัจจุบัน อุตสาหกรรมกระจกของประเทศไทย มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องปีละ 5-7% จากมูลค่าตลาดรวม 1.2 หมื่นล้านบาท โดยมีสัดส่วนการนำเข้า 20% หรือ 2.4 พันล้านบาท จะเห็นได้ชัดจากจำนวนการผลิตกระจกแผ่นในประเทศที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด บีจีเอฟจึงเข้ามาเป็นผู้ผลิตรายใหม่ ที่สามารถผลิตได้มากถึง 600 ตันต่อวัน ด้วยเทคโนโลยีการผลิตอันทันสมัย ประกอบกับการวางกลยุทธ์ที่แข็งแกร่ง พร้อมก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตกระจกรายใหญ่ของไทยและภูมิภาคอาเซียน
ด้านโชคชัย ศรีสุนทรพาณิชย์ ผู้จัดการทั่วไปร่วม บริษัท บีจี โฟลต กล๊าส จำกัด กล่าวว่า ในปีนี้บีจีเอฟจะเริ่มผลิตกระจกแผ่นใสออกสู่ตลาดก่อนในช่วงแรก และด้วยจุดเด่นในเรื่องของเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย ตั้งแต่สามารถผลิตได้ทั้งกระจกใส และกระจกสี แห่งแรกในเมืองไทย มีเทคโนโลยีการเคลือบผิวด้วยไอเคมี หรือ Online CVD Hard Coating และระบบตรวจสอบคุณภาพโดยชุดกล้องตรวจสอบ (Float Scan Plate) รายแรกของประเทศ และยังมีเทคโนโลยีอื่นๆ ที่เราได้ร่วมพัฒนากับ บจก. กลาส เทรอช เพื่อให้โรงงานแห่งนี้สามารถผลิตกระจกได้เต็มประสิทธิภาพ และต่อยอดไปสู่การเพิ่มมูลค่าให้แก่ผลิตภัณฑ์ได้หลากหลายรูปแบบ อาทิ กระจกเทมเปอร์ กระจกลามิเนต และกระจกประหยัดพลังงาน BGF Natural Cool เพื่อรองรับความต้องการของตลาดอย่างครบวงจร
โชคชัยกล่าวว่า ที่ผ่านมาโรงงานผลิตกระจกในประเทศล้วนเป็นของแบรนด์กระจกจากต่างประเทศเข้ามาตั้งโรงงาน ไม่ว่าจะเป็นอาซาฮี จากญี่ปุ่น หรือการ์เดียน จากสหรัฐอเมริกา บีจีเอฟ จึงเป็นโรงงานกระจกแบรนด์แรกของคนไทย 100% รองรับการใช้งานภายในประเทศ และพร้อมส่งออกสู่ตลาดต่างประเทศ ทั้งในกลุ่มอาเซียน กัมพูชา ลาว เมียนมา รวมไปถึงจีน และกลุ่มประเทศเอเชียใต้ ก็เป็นเป้าหมายที่บีจีเอฟ จะเข้าไปทำตลาด
โดยสมพรกล่าวย้ำว่า โรงงานผลิตกระจกบีจีเอฟ กบินทร์บุรีกล๊าส ถือเป็นการวางรากฐานที่สำคัญ ตอกย้ำวิสัยทัศน์ของบริษัทแม่อย่างบีจี ที่ต้องการนำเสนอผลิตภัณฑ์แก้วให้ครอบคลุมทุกวิถีการดำเนินชีวิต พร้อมก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านธุรกิจแก้วครบวงจร หรือ Total Glass Solutions ที่สามารถผลิตกระจกได้หลายรูปแบบ หลายคุณสมบัติ รองรับการใช้งาน และบีจีเอสก็จะมุ่งมั่นศึกษาเทคโนโลยีกระจกใหม่ๆ มาผลิตออกสู่ตลาด เพื่อการเติบโตทางธุรกิจอย่างมั่นคงในอนาคต