ฟิลิปส์ ถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่มีความผูกพันกับคนไทยมายาวนาน แม้จะไม่ได้ถูกเรียกให้เป็นชื่อสามัญของผลิตภัณฑ์ หรือ Generic Name เช่นเดียวกับ แฟซ่า, แฟ้บ หรือซีร็อกซ์ แต่ 65 ปีที่ฟิลิปส์เข้าสู่ประเทศไทย พูดถึงหลอดไฟ คนไทยส่วนใหญ่ก็นึกถึงฟิลิปส์เป็นลำดับแรก
ตลอด 65 ปีของฟิลิปส์ ผ่านวิวัฒนาการของหลอดไฟมาตั้งแต่หลอดฟลูออเรสเซนต์ หรือหลอดนีออน ก่อนที่เทรนด์ของการประหยัดไฟจะเริ่มแพร่ขยาย หลอดนีออนถูกพัฒนาเป็นหลอดผอม มาจนถึงหลอดตะเกียบ และสุดท้ายมาหยุดที่ราว 5 ปีทีผ่านมา วิวัฒนาการหลอดไฟก้าวมาถึงการใช้หลอดไฟ LED ที่มีการรับรองว่าประหยัดพลังงาน เซฟค่าไฟได้มากกว่าหลอดรุ่นเดิมๆ หลายเท่าตัว แต่ราคาก็สูงกว่าเป็นเท่าตัวเช่นกัน
เฉลิมพงษ์ ดรงค์สุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟิลิปส์อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปีนี้ถือเป็นปีแรกที่ส่วนแบ่งหลอดไฟ LED สูงกว่าหลอดไฟแบบเดิมๆ ทั้งหมด โดยมีส่วนแบ่งราว 52 : 48 เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มมีความเข้าใจถึงคุณสมบัติของหลอดไฟ LED ว่าประหยัดไฟกว่าหลอดไฟแบบเดิมมาก ขณะที่อีกส่วนสำคัญที่ทำให้หลอดไฟ LED ได้รับความนิยมมากขึ้นคือ ราคาที่เริ่มลดลง โดยเริ่มต้นขนาด 3 Watt ราคาต่ำกว่าร้อยบาท ปัญหาด้านราคาแพงจึงหมดไป ทำให้มั่นใจว่าในปีนี้ ตลาดหลอดไฟ LED จะเติบโตได้ถึง 2 หลัก และกินส่วนแบ่งของหลอดไฟแบบเดิมให้ส่วนแบ่งตกลงไปราว 2 หลักเช่นกัน
เมื่อตลาดมีแนวโน้มขาขึ้น ฟิลิปส์จึงประกาศวิสัยทัศน์ในการกระตุ้นการซื้อ ให้ผลิตภัณฑ์กลุ่มหลอดไฟ LEDกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มสินค้าเพื่อการดูแลสุขภาพ เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายให้กว้างยิ่งขึ้น
“ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านแสงสว่าง ที่มีเป้าหมายหลักในการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน เราได้คิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์แอลอีดีของฟิลิปส์ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ใช้งาน ตั้งแต่การประหยัดพลังงาน หรืออายุใช้งานที่ยาวนาน และด้วยความใส่ใจในคุณภาพของประสบการณ์การใช้งานในทุกมิติ ผลิตภัณฑ์ LED ฟิลิปส์ได้รับการออกแบบให้มีคุณภาพแสงที่ช่วยถนอมสายตา ด้วยนวัตกรรมที่ผ่านการรับรองมาตรฐานในระดับโลก ได้แก่องค์กรระหว่างประเทศด้านไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (International Electrotechnical Commission: IEC) โดยผ่านการทดสอบมาตรฐานความปลอดภัยต่อดวงตา (Eye Safety) IEC 62471 โดยคุณสมบัติถนอมสายตา (Eye comfort) ของฟิลิปส์เป็นหนึ่งในสิ่งที่ฟิลิปส์ได้ลงทุนพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากการสำรวจวิจัยในตลาดผู้ใช้งานทั่วโลก ไปจนถึงการก่อตั้ง “ศูนย์ทดสอบคุณภาพแสงไฟ (Lighting test centers)” ของฟิลิปส์ขึ้น เพื่อให้แน่ใจว่า ผู้ใช้งานจะได้รับประสบการณ์แสงที่มีคุณภาพดีและเหมาะสมที่สุด”
โดยด้านการทำการตลาด เฉลิมพงษ์ ได้มองถึงสองแนวโน้มด้านพฤติกรรมที่สำคัญในตลาด ได้แก่ กระแสการรักสุขภาพ และความต้องการมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคม ดังนั้น ผลิตภัณฑ์ฟิลิปส์ LED ถนอมสายตา จึงใช้โอกาสในการรุกตลาดด้วยแง่มุมของการส่งเสริมการดูแลสุขภาพให้ครบทุกมิติ นอกจากที่ฟิลิปส์จะเชื่อมโยงให้ผู้บริโภคมีความตระหนักรู้เกี่ยวกับความสำคัญของการเลือกใช้หลอดไฟแอลอีดีที่มีคุณภาพแล้ว ยังยื่นโอกาสในการมีส่วนร่วมในสังคม ผ่านการซื้อผลิตภัณฑ์แพ็คเกจพิเศษ แพ็คเพื่อน้อง เพื่อกระตุ้นยอดขายไปพร้อมกับการหยิบยื่นโอกาสคืนสู่สังคม โดยในโอกาสเดียวกัน
ฟิลิปส์ได้จัดตั้งโครงการ “แสงแห่งโอกาสและความห่วงใย (Light for the Bright Future)” ขึ้น โดยร่วมกับองค์กรยูนิเซฟ เป็นส่วนหนึ่งในการเติมเต็มประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีคุณภาพให้กับเยาวชนที่ขาดแคลน พร้อมเชิญชวนผู้บริโภคร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือ ผ่านการจัดจำหน่ายแพ็คเกจพิเศษ “แพ็คเพื่อน้อง” ตั้งแต่เดือนกันยายน – ธันวาคม พ.ศ. 2560 ที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำและตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ซึ่งรายได้ส่วนหนึ่งจากการจัดจำหน่ายจะมอบให้องค์กรยูนิเซฟ เพื่อนำไปต่อยอดกับโครงการพัฒนาและสนับสนุนการศึกษาของนักเรียนในโรงเรียนยากไร้
“แพ็คเพื่อน้อง ประกอบด้ว 1) หลอดฟิลิปส์แอลอีดี อีโคฟิต สีคูล เดย์ไลต์ 16w แพ็คคู่ ราคา 269 บาท 2) หลอดฟิลิปส์แอลอีดี สีคูล เดย์ไลต์ 10.5w แพ็คคู่ ราคา 299 บาท 3) หลอดฟิลิปส์แอลอีดี สีวอร์ม ไวต์ 10.5w แพ็คคู่ ราคา 299 บาท 4) หลอดฟิลิปส์แอลอีดี สีคูล เดย์ไลต์ 8w ซื้อ 3 แถม 1 แพ็คประหยัด ราคา 445 บาท และ 5) หลอดฟิลิปส์แอลอีดี สีคูล เดย์ไลต์ 13w ซื้อ 3 แถม 1 แพ็คประหยัด ราคา 595 บาท
ด้านแผนการตลาด ฟิลิปส์ได้วางแผนรุกตลาด เข้าถึงผู้บริโภคพร้อมกันในทุกช่องทาง ตั้งแต่การปล่อยภาพยนตร์สั้นบนโลกออนไลน์ เพื่อเพิ่มความตระหนักรู้ในสังคมเกี่ยวกับโอกาสทางการศึกษาของเยาวชนไทย, ภาพยนตร์โฆษณาเกี่ยวกับสุขภาพดวงตา รวมไปถึงสื่อทางการตลาด ณ จุดขายต่างๆ ที่ทำร่วมกับพันธมิตรคู่ค้าและห้างร้านต่างๆ ซึ่งเฉลิมพงษ์เชื่อว่า เรื่องราวดังกล่าวนี้จะเป็นกลยุทธ์สำคัญที่กลุ่มพันธมิตรคู่ค้าจะสามารถนำไปต่อยอดเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าและเพิ่มยอดขายให้กับฟิลิปส์ได้
เฉลิมพงษ์ยังได้มองถึงภาพรวมตลาดหลอดไฟ LED ว่า ด้วยเทคโนโลยีในการผลิตหลอดไฟที่ทำง่ายกว่าหลอดไฟแบบเดิมๆ ทำให้ตลาดเกิดแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง และวางราคาไว้ต่ำ ทำให้การแข่งขันรุนแรงขึ้นมาก แต่เชื่อว่าด้วยคุณภาพของสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน เมื่อผู้บริโภคได้ลองใช้แล้ว สุดท้ายก็จะกลับมาหาสินค้าคุณภาพอย่างฟิลิปส์
ปัจจุบันตลาดหลอดไฟ LED มีมูลค่าอยู่ราวปีละ 5,800 ล้านบาท และยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก เพราะแม้สภาพเศรษฐกิจจะยังไม่สดใส แต่หลอดไฟก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นของครัวเรือน รวมถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของรัฐบาล ก็จะช่วยสนับสนุนให้ตลาดหลอดไฟเติบโต
ซึ่งในส่วนของฟิลิปส์ แผนการกระตุ้นตลาดต่อไปอีกการสร้างฟังก์ชั่นแนลให้กับการใช้แสงสว่าง มีฟีเจอร์ใหม่ๆ เข้ามาช่วยให้สร้างประโยชน์จากการใช้หลอดไฟมากขึ้น เช่น หลอดไฟที่สามารถเปลี่ยนสลับสีวอร์ม และสีคูลได้ การใช้แอพพลิเคชั่นควบคุมการเปิด-ปิด ไฟ หรือการใช้แสงไฟสร้างบรรยากาศในวาระต่างๆ
“เมื่อแสงสว่างมีฟังก์ชั่นใหม่ๆ ก็จะเหมือนกับสมาร์ทโฟน ที่ผู้บริโภคมีการเปลี่ยนเครื่องใหม่ ซื้อเครื่องใหม่บ่อยขึ้น การเปลี่ยนหลอดไฟเร็วขึ้น ไม่ต้องรอให้หลอดไฟหมดอายุ ตลาดหลอดไฟก็มีโอกาสเติบโตไปอีกมาก” คืออนาคตของหลอดไฟ LED ที่เฉลิมพงษ์มองเห็น