ZmyHome จากสตาร์ทอัพคิดตาม ก้าวสู่ความสำเร็จระดับโลก

1737

สตาร์ทอัพ ที่จะประสบความสำเร็จได้ ไม่ได้หมายความว่า จะต้องเป็นผู้สร้างไอเดีย ความคิดใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีอยู่ในตลาดเท่านั้น  สตาร์ทอัพ สามารถคิดตามได้ หากมองเห็นจุดอ่อน ข้อด้อยของผู้คิดก่อน แล้วนำมาปรับแก้ให้ไอเดียนั้นสมบูรณ์ที่สุด ก็สามารถเป็นสตาร์ทอัพที่ดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนได้เช่นกัน

ZmyHome(ซีมายโฮม) สตาร์ทอัพในโครงการ ดีแทค แอคเซอเลอเรท batch3  เจ้าของเว็บไซต์ขาย เช่าบ้าน คอนโด ถือเป็นตัวอย่างสตาร์ทอัพคิดตามที่ประสบความสำเร็จจากการมองปัญหาภาพใหญ่ของธุรกิจการขายบ้าน ประกอบกับเว็บไซต์ขายบ้านที่มีอยู่ก็ไม่ได้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ซื้อได้ดีพอ

ไม่น่าเชื่อว่า ค่าเฉลี่ยในการขายบ้าน ขายห้องคอนโดมือ 2 ของเมืองไทย จะต้องใช้เวลามากถึง 343 วัน หรือเกือบ 1 ปี จึงจะขายได้สำเร็จ เทียบกับออสเตรเลีย หรือหลายๆ ประเทศในยุโรป ใช้เวลาเฉลี่ยในการขายเพียง 1-3 เดือนเท่านั้น

ขณะที่เครื่องมือในการขายบ้านยุคปัจจุบันอย่างเว็บไซต์ แม้จะมีอยู่มากมายหลายสิบเว็บ แต่ทั้งหมดล้วนไม่ได้ตอบโจทย์การขายบ้านได้อย่างตรงจุด  ตั้งแต่การมีข้อมูลไม่ครบถ้วน  ไม่มีการอัพเดท ข้อมูลซ้ำ ภาพไม่ตรงกับบ้าน หรือห้องจริง  และที่สำคัญคือ เจ้าของบ้านไม่ได้เป็นผู้ติดต่อกับลูกค้าโดยตรง

ณัฐพล อัศว์วิเศษศิวะกุล ผู้ก่อตั้ง ZmyHome  ในอดีตเคยทำงานในบริษัทที่ปรึกษาและวิจัยอสังหาริมทรัพย์ พบเจอปัญหาเหล่านี้  ก่อนจะออกไปหาประสบการณ์ เรียนรู้ปัญหาโดยตรงจากการตั้งบริษัทนายหน้าตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์  เพื่อจะกลับมาก่อตั้ง ZmyHome

ณัฐพล กล่าวว่า  เว็บไซต์ ZmyHome  ถือเป็นแพลตฟอร์มขาย เข่า บ้าน คอนโดฯ ที่แก้ปัญหาทั้งหมดได้ตรงจุดที่สุด เพราะเป็นเว็บไซต์ที่เปิดให้ผู้สนใจซื้อหรือเช่าบ้าน คอนโดฯ สามารถติดต่อโดยตรงกับเจ้าของบ้านหรือเจ้าของโครงการโดยตรง โดยข้อมูลและภาพบ้านหรือห้องที่นำมาขายต้องเป็นภาพของสถานที่จริง ปัจจุบัน มีผู้เข้ามาลงประกาศในลักษณะเจ้าของบ้าน คอนโด ในรายบุคคล รวมทั้งเจ้าของโครงการอสังหาริมทรัพย์ โดยได้รับความไว้วางใจจากเจ้าของโครงการคอนโดและบ้านจำนวนมาก ที่ใช้บริการระบบนี้ เช่น แอลพีเอ็น  ริชชี่เพลส  ซีพีแลนด์  เรียลแอสเซท  ชีวาทัย  ดีเวล เป็นต้น โดยทุกรายสามารถขายทรัพย์สินได้จริง และมีมูลค่ารวมกันกว่าร้อยล้านบาท

“จุดแข็งของแพลตฟอร์ม ZmyHome คือช่วยให้ลูกค้าที่เป็นเจ้าของโครงการ หรือเจ้าของบ้านรายย่อย ขายได้เร็วขึ้น เพราะ 1) ZmyHome ช่วยแสดงให้เห็นความต้องการที่แท้จริงของตลาด และ 2) ZmyHome ช่วยโปรโมททรัพย์สินที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย โดยผู้ขายสามารถศึกษาราคาของทรัพย์สินที่ขาย-เช่า สำเร็จบนเว็บไซต์ก่อนเริ่มลงประกาศ และหลังจากที่ลงประกาศแล้วเจ้าของบ้านจะได้รับแจ้งความเคลื่อนไหวสำคัญในโครงการเดียวกัน หรือในชุมชนรอบๆ ผ่านทางเฟซบุ๊กแมสเซ็นเจอร์ (FB Messenger)  เช่น จำนวนคนสนใจโครงการที่คุณลงประกาศขายอยู่  ประกาศที่มีผู้สนใจซื้อในโครงการเดียวกัน ประกาศที่ขาย-เช่าสำเร็จในโครงการเดียวกัน เป็นต้น ซึ่งการช่วยเหลือแบบนี้คล้ายกับเจ้าของทรัพย์สิน มีมืออาชีพช่วยแนะนำตลอดเวลา เพื่อช่วยให้ขายเช่าสำเร็จ”

นอกจากนี้ ZmyHome  ยังเป็นเว็บอสังหาแห่งแรกในประเทศไทย ที่เจ้าของบ้านหรือคอนโดที่ต้องการขาย หรือเช่าเร่งด่วน  สามารถโปรโมทตรงถึงผู้ซื้อที่มีแผนจะซื้อบ้าน หรือเช่า ภายใน 3 เดือนรอบๆ โครงการ โดยคิดค่าบริการตามจริงที่จากลูกค้าเห็นโฆษณาเท่านั้น  และจนถึงสิ้นปีนี้เจ้าของโครงการต่างๆ สามารถส่ง Pricelist และภาพถ่าย เพื่อให้ ZmyHome ช่วยลงประกาศให้ได้ฟรี ไม่จำกัดจำนวนและโครงการ

โดยในปีที่ผ่านมาเว็บไซต์ก็มี Developer มาใช้บริการจำนวนมากด้วยเช่นกัน โดย 1 ในนั้นคือ LPN ซึ่งสามารถปิดยอดขายได้จริงผ่าน ZmyHome กว่า 100 ล้านบาท โดยสามารถจำหน่ายห้องคอนโดมิเนียมในโครงการของ LPN ได้มากถึง 130 ยูนิต สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 100 ยูนิต และในปี 2561 นี้ก็ตั้งเป้าที่จะปิดยอดขาย 300 ล้านบาท จาก ZmyHome

ความสำเร็จของ ZmyHome จากสตาร์ทอัพที่ใช้ระยะเวลาเพียง 2 ปี  ZmyHome มีประกาศที่ขายหรือเช่าแล้วกว่า 10,000 รายการ จากทั้งหมด 30,000 รายการ ให้ผู้ที่จะขาย-เช่าที่อยู่อาศัยได้ศึกษา  และจำนวนคนซื้อ คนเช่าที่เข้ามาใช้ก็เติบโตเฉลี่ย 18% ต่อเดือน  มีการเข้าเว็บไซต์เปิดดูเดือนละกว่า 1,000,000 ครั้ง  ทำให้ได้รับความสนใจจาก KK Fund กองทุนจากสิงคโปร์ที่มี track record ระดับที่ดีมาก มาลงทุนด้วยงบประมาณก้อนใหญ่  400,000 เหรียญสหรัฐ

ณัฐพล กล่าวว่า การเป็นเว็บ Data Quality ที่มีข้อมูลประกาศบนเว็บถูกต้อง และอัพเดทอยู่เสมอ ไม่มีข้อมูลซ้ำ ผู้ซื้อและผู้ขายจะสามารถใช้ ZmyHome เช็คราคาตลาดได้อย่างรวดเร็ว เพียงรายเดียวในไทย  โดยเงินที่ได้จากการระดมเงินลงทุนรอบนี้ จะนำมาพัฒนาระบบและทำการตลาดให้ครอบคลุมตลาดทุกทำเล และทุกเซ็กเม้นท์  ซึ่งจะเกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้ซื้อบ้าน  ใน 3 ส่วน ประกอบด้วย

1)การจัดทำคอนเทนต์ทั้งหมดเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อขยายผู้ใช้บริการสู่กลุ่มชาวต่างชาติที่ต้องการที่อยู่อาศัยในเมืองไทย   2) การพัฒนาระบบ AI (Artificial  Intelligence) พัฒนาระบบวิเคราะห์ราคาและระบบโฆษณา เพื่อช่วยให้เจ้าของโครงการ และเจ้าของรายย่อย ซื้อขายสำเร็จได้ในเวลาที่ต้องการ  ช่วยให้เวลาขายเฉลี่ยของตลาดลดลงเหลือ 1-3 เดือนทุกรายเหมือนประเทศที่พัฒนาแล้ว  และ 3) การพัฒนา API(Application Programming Interface) เพื่อให้บริษัทเจ้าของโครงการสามารถเชื่อมต่อกับหลังบ้านของ ZmyHome  นำข้อมูลบ้าน หรือห้องที่จะขายมาลงได้โดยตรง

ด้าน โคอิชิ ไซโตะ ผู้ก่อตั้ง KK Fund กล่าวว่า  KKFund เลือกลงทุนใน ZmyHome เพราะเห็นโอกาสของตลาดอสังหาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีสภาพคล่องต่ำ  ซึ่งต้องการแพลตฟอร์มที่ข้อมูลถูกต้อง เพื่อช่วยให้การซื้อขายเกิดขึ้นได้รวดเร็วยิ่งขึ้นเหมือนประเทศพัฒนาแล้วที่สามารถขายหรือซื้อสำเร็จในเวลาเพียง 1-3 เดือน ซึ่งทีมผู้ก่อตั้ง ZmyHome มีเข้าใจโครงสร้างของปัญหานี้เป็นอย่างดี และทุ่มเทตลอดมาที่จะทำให้ผู้ซื้อ ผู้ขาย ซื้อขายสำเร็จได้ตามต้องการ เน้นการสร้าง User Experience มากกว่าการทำเว็บเพื่อสร้างยอดคนดูเท่านั้น

“การลงทุนใน ZmyHome ครั้งนี้ จะเป็นการสร้างพันธมิตรด้านแพลตฟอร์มอสังหาฯที่แข็งแกร่งใน ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจาก KK Fund ได้มีการลงทุน Platform ด้านอสังหาริมทรัพย์ในหลายประเทศในภูมิภาคนี้  และ ZmyHome เป็น แพลตฟอร์มเดียวในไทยที่แก้ปัญหาได้ตรงจุด

ด้วยความพร้อมของเว็บไซต์ ความพร้อมของเงินทุนที่เชื่อว่าจะมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความสำเร็จเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว  ณัฐพล มองเป้าหมายไปไกลๆ ว่า ในอนาคต ZmyHome จะสามารถก้าวขึ้นเป็นเว็บไซต์การซื้อ เช่า บ้าน คอนโด ของเจ้าของบ้าน เจ้าของโครงการจากทั่วโลกได้