ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน กรรมการและประธานคณะผู้บริหาร บริษัท บีเคไอ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BKIH และ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2568 ยังคงเผชิญความท้าทายจากหลายปัจจัย ทั้งหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง กำลังซื้อของประชาชนที่ลดลง รวมถึงผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งค่าและภาวะ “China Shock” จากสินค้าราคาถูกที่ทะลักเข้าสู่ตลาด ส่งผลให้ผู้ประกอบการ SMEs แข่งขันได้ยากขึ้น ขณะเดียวกันอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายสะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยทั้งปีจะเติบโตราว 2% ขณะที่อุตสาหกรรมประกันภัยจะขยายตัวในกรอบ 1.5–2.5%
จากปัจจัยทางเศรษฐกิจที่กล่าวมาข้างต้น กรุงเทพประกันภัยจึงได้ปรับเป้าหมายการเติบโตให้สอดคล้องกับสถานการณ์ แม้ว่าภาพรวมในปีนี้เบี้ยประกันภัยรับรวมอาจจะไม่สามารถขยายตัวได้ตามที่ตั้งเป้าไว้ แต่บริษัทฯ ยังคงมุ่งดำเนินงานในทิศทางที่กำหนดไว้ และมั่นใจว่าจะสามารถรักษามาตรฐานด้านผลประกอบการได้อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่ากำไรสุทธิจากผลการดำเนินงานในปี 2568 จะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาและเป็นไปตามที่คาดหมายไว้
สำหรับในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 นี้ คาดว่าจะได้รับแรงสนับสนุนจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ อย่างโครงการคนละครึ่งพลัสที่จะช่วยเพิ่มการใช้จ่ายในประเทศ ทั้งการเดินหน้าโครงการเมกะโปรเจ็กต์ขนาดใหญ่ การขยายตัวของเบี้ยประกันภัยประเภทอื่นๆ ที่จะมีเข้ามา เช่น ประกันภัยทรัพย์สิน และศูนย์ข้อมูล Data Center ฯลฯ ตลอดจนบริษัทฯ มีการบริหารจัดการด้านประกันภัยรถยนต์ที่ยังคงมุ่งเน้นกลยุทธ์ “ไม่แข่งขันด้านราคา” และให้ความสำคัญในการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบและสมดุล ซึ่งจุดแข็งของเราคือการให้บริการที่มีคุณภาพ เชื่อถือได้ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ รวมถึงการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้เพื่อยกระดับประสบการณ์และความพึงพอใจของลูกค้าเป็นสำคัญ ปัจจัยเหล่านี้จะมีส่วนช่วยสนับสนุนให้เบี้ยประกันภัยรับรวมของบริษัทฯ ในสิ้นปี 2568 อยู่ที่ราว 32,500 ล้านบาท
ด้านการประเมินความเสียหายในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทฯ ยังคงยึดมั่นในการดูแลลูกค้าอย่างเต็มที่ในทุกสถานการณ์ โดยเฉพาะเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนส่วนใหญ่ในประกันอัคคีภัยบ้านอยู่อาศัยและห้องชุด รวมถึงประกันภัยทรัพย์สิน ทั้งนี้ กรุงเทพประกันภัยได้บริหารจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการจัดสรรประกันภัยต่อ (Reinsurance) ที่ครอบคลุมมากกว่า 95% ของมูลค่าความเสียหายทั้งหมด ส่งผลให้บริษัทฯ รับผิดชอบโดยตรงเพียงประมาณ 100 ล้านบาท ขณะที่ส่วนที่เหลือได้รับการคุ้มครองจากประกันภัยต่อ
ส่วนกรณีความเสียหายจากการทรุดตัวของถนนสามเสน บริเวณพื้นที่ก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการประเมินความเสียหายทั้งในส่วนทรัพย์สินบุคคลภายนอกและความเสียหายของโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน ซึ่งบริษัทกรุงเทพประกันภัยได้เข้าร่วมรับประกันภัย 40% ของมูลค่ารวม ดังนั้น เมื่อสามารถสรุปความเสียหายได้แล้ว บริษัทฯ จะชดใช้ความเสียหายตามสัดส่วนที่รับประกันภัยไว้ แต่ทั้งนี้ จะไม่ได้มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลประกอบการของบริษัทฯ เนื่องจากกรุงเทพประกันภัยได้จัดสรรการประกันภัยต่อออกไปกว่า 99% ซึ่งบริษัทฯ จะได้รับผลกระทบน้อยกว่า 1% ของมูลค่าความเสียหายรวมที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ ปัจจุบันภาคธุรกิจประกันภัยยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากภัยพิบัติและอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด ทำให้บริษัทฯ ต้องเพิ่มความระมัดระวังมากยิ่งขึ้นในการคัดเลือกการรับประกันภัย พร้อมกับการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบและเหมาะสม เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงและความเชื่อมั่นให้แก่ผู้เอาประกันภัยในระยะยาว












