จากทริปญี่ปุ่นที่ได้มีโอกาสไปเห็นธุรกิจเนิร์สซิ่งโฮมตั้งแต่ระดับมาตรฐานทั่วไปจนถึงระดับพรีเมียม โดยที่ทุกแห่งต่างก็มี waiting list ยาวเหยียดเมื่อสิบปีก่อน จุดประกายให้ สุพจน์ สิริกุลภัสสร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ JAS เล็งเห็นว่าในที่สุดเมืองไทยก็น่าจะต้องเดินทางมาถึงจุดนี้เช่นกัน
ดังนั้น เมื่อประเทศไทยเริ่มก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ประกอบกับ JAS ได้ที่ดินใจกลางคู้บอน ย่านรามอินทรา บนพื้นที่กว่า 40 ไร่ตามสัญญาเช่า 30 ปี โครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่จึงฝ่าสถานการณ์โควิด-19 เกิดเป็น JAS Green Village Kubon ในรูปแบบ Open-Air ไลฟ์สไตล์มอลล์ ที่มีพันธมิตรและผู้ประกอบการมากมาย ทั้งซูเปอร์มาร์เก็ต ศูนย์อาหาร ร้านอาหารชื่อดัง ร้านค้าแฟชั่น ศูนย์บริการความงาม สถาบันการศึกษา ฟิตเนส ปั๊มน้ำมัน ฯลฯ แต่หนึ่งในไฮไลต์สำคัญที่ต่อเนื่องมาจากทริปญี่ปุ่นครั้งนั้นก็คือที่คอมมูนิตี้มอลล์แห่งนี้มี SENERA Senior Wellness เวลเนสผู้สูงวัยระดับพรีเมียม ตั้งอยู่ในโซนด้านหลังท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่น

พงศิยา กิตติขจร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีเนร่า ซีเนียร์ เวลเนส จำกัด เปิดเผยกับ 362 Degree ว่า ชื่อ SENERA มาจากคำว่า Senior บวกกับคำว่า Era มีความหมายตรงตัวว่า ยุคสมัยของผู้สูงวัย และเมื่อเป็นธุรกิจที่เกิดจาก passion ล้วนๆ ของผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ว่า ‘อยากให้พ่อแม่อยู่แบบไหนก็เลยสร้างแบบนี้’ การจัดเต็มให้กับทุกองค์ประกอบสำคัญจึงมาก่อนที่จะคิดถึงคำว่า ‘จุดคุ้มทุน’
เริ่มจากการแบ่งพื้นที่อย่างชัดเจน โดยอาคาร Active สำหรับผู้สูงวัยที่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ มีพื้นที่ห้องตั้งแต่ 30-80 ตร.ม. จำนวน 49 ห้อง และอาคาร Non Active สำหรับผู้สูงวัยที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ติดเตียง และอื่นๆ ที่ต้องการผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด จำนวน 78 เตียง ทั้งสองอาคารถูกออกแบบให้คำนึงถึงความปลอดภัยในการใช้ชีวิตประจำวันของผู้สูงวัย ได้แก่ ความกว้างของประตูทั้งประตูห้องพักและประตูห้องน้ำ ขนาดทางเดินที่เหมาะสมต่อการใช้วีลแชร์ ราวจับ การติดตั้งอุปกรณ์ช่วยเหลือต่างๆ ภายในห้อง รวมถึงการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่เหมาะสม นอกจากนี้ ยังมีอาคารเพื่อให้บริการผู้สูงวัยและญาติมิตร โดยมีทั้งเลาจน์ที่สามารถจัดกิจกรรมขนาดเล็ก จัดเวิร์คช็อป หรือสังสรรค์ส่วนตัว รวมถึงพื้นที่ work from home สำหรับญาติที่มาเยี่ยม และยังมีคลินิกกายภาพบำบัด ฟิตเนส รวมถึงธาราบำบัดในสระน้ำเกลือในร่ม และสระว่ายน้ำกลางแจ้ง ท่ามกลางพื้นที่สีเขียวสไตล์รีสอร์ท

“เนิร์สซิ่งโฮมโดยทั่วไป ตามกฎหมายระบุให้ต้องมี Caregiver หรือผู้ดูแลผู้สูงอายุที่ต้องเรียนด้านนี้มาอย่างน้อย 420 ชั่วโมง ในอัตรา 1 ต่อ 5 คน แต่ที่ SENERA เราเพิ่มพยาบาล 24 ชั่วโมง และให้มี Doctor Visit คุณหมอมาตรวจเยี่ยมเดือนละครั้ง ซึ่งมีทั้งแพทย์เวชศาสตร์เฉพาะทาง แพทย์สมอง และแพทย์ด้านต่างๆ จากโรงพยาบาลในรัศมีใกล้เคียง คือโรงพยาบาลสินแพทย์รามอินทรา โรงพยาบาลอินทรารัตน์ และโรงพยาบาล KDMS เฉพาะกระดูกและข้อ แต่ในเคสฉุกเฉิน หลังจากส่งไปที่โรงพยาบาลใกล้เคียงแล้ว ถ้าผู้สูงอายุหรือญาติต้องการให้ส่งต่อไปที่ไหน เราก็ยินดีให้บริการ”
สังคมเปลี่ยน หนึ่งวันก็พร้อมดูแล
“เมื่อก่อนมีลูกหลานพาคุณแม่มาที่นี่ แล้วสอบถามเรื่องการเข้าพัก คุณแม่ก็นั่งฟังน้ำตาร่วงเพราะเข้าใจว่าลูกหลานพามาทิ้ง เราก็ต้องช่วยอธิบายว่าไม่ต้องกลัวนะคะ บางครั้งลูกอาจมีความจำเป็นต้องไปทำงานต่างจังหวัดหรือต้องไปต่างประเทศ คุณแม่ก็แค่มาอยู่ชั่วคราวเท่านั้นเอง คุณแม่ถึงเข้าใจ แต่เดี๋ยวนี้สังคมเปลี่ยนไป ประกอบกับเรามีบริการแบบ Daycare คือไปเช้าเย็นกลับ บางบ้าน เช้าลูกมาส่งแล้วไปทำงาน ตกเย็นก็ให้รถมารับกลับบ้าน แทนที่จะปล่อยให้คุณพ่อคุณแม่อยู่บ้านคนเดียวเหงาๆ คุณพ่อคุณแม่ก็ได้มาเจอเพื่อนๆ ได้มาทำกิจกรรมมีสังคมเล็กๆ ที่นี่ หลังๆ กลายเป็นเราไปจุดประกายให้เพื่อนที่กำลังซ่อมบ้านว่า แทนที่จะพาคุณพ่อคุณแม่ออกไปเช่าโรงแรมหรืออพาร์ทเมนต์ชั่วคราว ก็สามารถให้มาพักชั่วคราวที่ SENERA ได้ จะได้ไม่ต้องกังวลด้วยว่าระหว่างนั้นหากมีปัญหาเรื่องสุขภาพที่คาดไม่ถึง ที่นี่ก็คือศูนย์ดูแลผู้สูงอายุโดยตรงอยู่แล้ว”

แพ็กเกจ ‘เปิดใจ’ เพื่อให้ทุกคนเปิดใจ
“เรามีแพ็กเกจ ‘เปิดใจ’ 2-3 คืน แบบแพ็กเกจ Staycation ของโรงแรม คือจะมานอนพักเองหรือลูกๆ จะมานอนด้วยก็ได้ เพราะหลายท่านก็อาจไม่แน่ใจว่าจะอยู่ได้ไหม จะนอนหลับไหม คนดูแลจะดูแลดีไหม ซึ่งหลังจากได้มาลองเปิดใจแล้ว หลายท่านรู้สึกวางใจมากขึ้น จากทดลองอยู่ไม่กี่วันก็สามารถอยู่ต่อเป็นอาทิตย์หรือเป็นเดือนได้ หลังจากนั้นเมื่อถึงวันที่ลูกหลานติดภารกิจ ท่านก็สบายใจที่จะมาพักชั่วคราวที่ SENERA และหากมีความจำเป็นต้องพักที่นี่ในระยะยาว ก็มีความคุ้นเคยกับสถานที่และการบริการต่างๆ แล้ว”
“เรามองว่าผู้สูงอายุทุกคน นอกเหนือจากไม่ต้องการเป็นภาระลูกหลานแล้ว ทุกคนยังต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ไม่ได้ต้องการรู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง เราเลยอยากทำเนิร์สซิ่งโฮมที่มีความสะดวกสบาย พอผู้สูงอายุมาอยู่ก็รู้สึกสะดวก จะเดินไปซื้อของในท็อปส์ก็ได้ เดินช็อปปิ้งในห้างก็ได้ ลูกหลานมาเยี่ยมก็ไม่ต้องมานั่งเบื่อๆ อยู่แต่ในห้อง แต่สามารถมานั่งเล่นในเลาจน์ มานั่งทำงาน work from home มาใช้พื้นที่จัดกิจกรรมส่วนตัว อย่างฉลองวันเกิดเล็กๆ รวมถึงการจัดกิจกรรมต่างๆ ที่เราอยากให้ผู้สูงอายุทำ นอกจากเพื่อไม่ให้เหงาแล้วยังช่วยพัฒนาสมองและอวัยวะส่วนต่างๆ ทั้งกล้ามเนื้อมัดเล็กมัดใหญ่ เช่น วาดรูป ทำอาหารง่ายๆ หรือเกมลับสมองต่างๆ”
ธุรกิจที่สู้ด้วย Value
“ปัจจุบันเราทำราคาที่ยืดหยุ่นมากขึ้น อย่างตึก Rain Tree ราคาเริ่มต้นเฉพาะห้อง 28,000 บาท จากนั้นถ้าต้องการเพิ่มเติมอะไรก็บวกเข้าไป เช่น อาหารเช้ามื้อเดียวหรือครบ 3 มื้อ หรือต้องการคนดูแลพิเศษ แต่ถ้าเป็นอาคารสำหรับ Non-Active ราคาเริ่มต้นก็จะสูงกว่านี้เพราะต้องใช้ผู้ดูแลพิเศษแน่นอน และถ้าเป็นอัลไซเมอร์ราคาก็จะสูงขึ้นไปอีก เพราะอาจต้องใช้ผู้ดูแล 1 ต่อ 1 ไปเลย ภารกิจของเราคือทำยังไงก็ได้ให้ตรงนี้เต็ม 75-80% เฉลี่ยที่ 70,000-80,000 บาทต่อเดือน ขณะที่ปัจจุบันธุรกิจนี้มีราคาตั้งแต่ 10,000-100,000 บาทต่อเดือน แต่คนจำนวนมากยังต้องการมองหาที่ระดับ 35,000-50,000 บาท เราก็ต้องกลับมามองในจุดที่ SENERA มี Value เพียงพอที่เขาจะควักกระเป๋าจ่าย ซึ่งก็ต้องกลับมาที่จุดแข็งของเราคือการบริการ”

Wellbeing Hub ที่ครบมิติการดูแลผู้สูงอายุและครอบครัว
“เราอยากให้ SENERA เป็น Wellbeing Hub ที่ครบมิติการดูแลผู้สูงอายุและครอบครัว เราพร้อมจะเป็นตัวช่วยในการอุดช่องว่างระหว่างลูกหลานวัยทำงานกับวัยคุณพ่อคุณแม่ที่อยู่ที่บ้าน ทั้งในช่วงเวลาสั้นๆ ที่หลายคนอาจนึกไม่ถึง เช่น แม้แต่ระหว่างที่คุณซ่อมบ้าน คุณก็สามารถนำคุณพ่อคุณแม่มาพักที่นี่ได้ แทนที่จะพาไปเช่าคอนโดที่อื่น คำว่า ‘ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง’ จึงไม่ได้หมายถึงแค่การรับดูแลพ่อแม่ในวัยสูงอายุแบบระยะยาวอย่างเดียว แต่ในระยะสั้นๆ ที่ลูกหลานอาจไม่สะดวกดูแลอย่างใกล้ชิด ก็สามารถให้เราดูแลได้”
เป้าหมายแบรนด์เนิร์สซิ่งโฮมไทยที่ต่างชาติยอมรับ
“ที่ผ่านมาเรามีโรงแรมสัญชาติไทยแบบดุสิตธานีหรือเซ็นทรัลที่ต่างชาติยอมรับ ในอนาคต SENERA ก็เช่นกัน เราอยากเป็นแบรนด์เนิร์สซิ่งโฮมของคนไทยที่มีมาตรฐานสากล เป็นเนิร์สซิ่งโฮมไทยที่มี Hospitality แบบไทยๆ ที่ต่างชาติยอมรับ ประกอบกับมาตรฐานด้านการแพทย์ของประเทศไทยก็ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกอยู่แล้ว เราจึงเชื่อว่า SENERA จะเป็นเหมือนโรงเรียนที่ทั้งตัวแบรนด์และทั้ง JAS จะได้เรียนรู้ที่จะพัฒนาธุรกิจนี้และมีพันธมิตรดีๆ ที่จะเข้ามาต่อยอดให้เนิร์สซิ่งโฮมของเราครบมิติในการดูแลผู้สูงอายุและครอบครัวยิ่งขึ้น”

ปัจจุบัน SENERA เปิดให้บริการแล้ว 2 สาขา คือสาขาคู้บอน และบางบัวทอง มีจำนวนเตียง 207 เตียงในการรองรับผู้สูงอายุและผู้พักฟื้น ด้วยงบลงทุนกว่า 500 ล้านบาท โดยมีกว่า 300 ครอบครัวที่เข้ามารับบริการจาก SENERA ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ SENERA ยังมีแผนที่จะเข้าไปดูแลสุขภาพในชุมชน ขยายการบริการไปยัง JAS ทั้ง 8 สาขา และ SENERA Home Care บริการส่งคนไปดูแลผู้สูงอายุหรือผู้อยู่ในระยะพักฟื้นถึงบ้านด้วย