บล.ทิสโก้ชี้หุ้นไทยขาดปัจจัยหนุน เศรษฐกิจโตต่ำและมีความเสี่ยงจากนโยบายสงครามการค้าของสหรัฐฯ กำไรบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ออกมาต่ำกว่าคาด การเมืองร้อนแรงตามสภาพอากาศ ชี้ราคาหุ้นไทยเริ่มน่าสนใจทยอยลงทุนสำหรับการลงทุนระยะกลาง-ยาว

อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า บล.ทิสโก้คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้อาจโตไม่ถึง 3% จากแนวโน้มของการบริโภคในประเทศมีทิศทางชะลอตัวลง รวมถึงธุรกิจในภาคการผลิตยังคงซบเซา ส่วนหนึ่งจากการแข่งขันที่สูงจากสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ ล่าสุดการประชุม กนง.เมื่อวันที่ 26 ก.พ. ที่ผ่านมา นอกจากปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เป็น 2.00% เซอร์ไพร์สตลาดแล้ว ยังเตรียมจะปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ลงจากปัจจุบันที่ 2.9% มาอยู่ที่ระดับสูงกว่า 2.5% เล็กน้อยในการประชุมครั้งหน้าในเดือน เม.ย.
นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงมากขึ้นจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ เพราะประธานาธิบดีทรัมป์จะใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ซึ่งมาตรการนี้จะให้อำนาจประธานาธิบดีปรับอัตราภาษีนำเข้าให้เท่ากับอัตราที่ประเทศคู่ค้าเรียกเก็บจากสินค้าสหรัฐฯ สำหรับไทยเรียกเก็บภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ ที่อัตราเฉลี่ยประมาณ 6% เทียบกับสหรัฐฯ ที่เรียกเก็บภาษีสินค้าจากไทยเฉลี่ยไม่ถึง 1% ขณะเดียวกันไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ราว 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีที่แล้ว เป็นประเทศลำดับที่ 11 ที่เกินดุลการค้าจากสหรัฐฯ มากที่สุด จึงมีความเสี่ยงสูงในภูมิภาคเอเชียรองจากอินเดียที่อาจถูกมาตรการภาษีตอบโต้ ต้องติดตามการเจรจากับสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด
สำหรับภาพรวมงบ 4/2567 ของไทยส่วนใหญ่ออกมาแย่กว่าตลาดคาดในสัดส่วน 47% / ตามคาด 23% / ดีกว่าคาด 30% ส่งผลให้ประมาณการกำไรของตลาด (SET EPS) ยังมีแนวโน้มปรับลงอยู่ โดยในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา SET EPS ปี 25F ถูกปรับจาก 96.9 บาท เป็น 96.0 บาท หรือ -0.9% (ตั้งแต่ต้นปีนี้ -2.4% YTD) อยู่ที่ในทิศทางปรับลงต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่แล้ว นอกจากนี้ ระดับ SET Index ที่เหมาะสมจากการประเมินด้วยวิธี Bottom-up Approach ถูกปรับลงต่อเนื่องเช่นกันมาอยู่ที่ 1,510 จุด
การเมืองเดือนนี้จะร้อนแรงขึ้นตามสภาพอากาศ ทั้งจากประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ต้องยอมรับว่าในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาความสัมพันธ์ของ 2 พรรคการเมืองใหญ่ในพรรคร่วมรัฐบาลค่อนข้างกระท่อนกระแท่นจากหลายกรณี ถึงแม้บล.ทิสโก้มองยังไม่ถึงขั้นแตกหัก แต่อย่างน้อยจะกระทบต่อการทำงานของรัฐบาล รวมทั้งอาจมีการปรับคณะรัฐมนตรีในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ทำให้กระบวนการขับเคลื่อนงานต่าง ๆ ของรัฐบาลมีความล่าช้าหรือไม่ได้ผลเท่าที่ควร
อย่างไรก็ตาม จากการประเมินมูลค่าหุ้นไทยในหลาย ๆ แง่มุมมีความน่าสนใจมากสำหรับการลงทุนระยะกลาง-ยาว แต่ด้วยคาดการณ์กำไรตลาดยังมีแนวโน้มปรับลงอยู่และมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการขึ้นภาษีของทรัมป์ ดังนั้น ในเชิงกลยุทธ์ อาจเน้นการทยอยตั้งรับแบบไม่ต้องรีบร้อน สำหรับประเด็นการลงทุนที่น่าสนใจในเดือนนี้ บล.ทิสโก้มองไปที่ 1) หุ้นบลูชิพในแต่ละอุตสาหกรรมที่คาดจะได้ประโยชน์จากการแปลง LTF เป็น TESGX เด่น BDMS, HMPRO, MINT, KTB, PTT
และ 2) หุ้นที่มีปัจจัยหนุนเฉพาะตัว AMATA เพราะมีโอกาสได้รับปัจจัยบวกเรื่อง Relocation จากประเด็นสงครามการค้า, รัฐส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ, มี Backlog สูง, เริ่มมีดีมานด์จาก Data Center และ SPALI เพราะปันผลสูง, มูลค่าหุ้นถูก, ลุ้นธปท.ทบทวน LTV, มีโอกาสซื้อหุ้นคืน เพราะฉะนั้น หุ้นเด่นแนะนำในเดือนมีนาคม คือ AMATA, BDMS, HMPRO, KTB, MINT, PTT และ SPALI ด้านแนวรับสำคัญของดัชนีหุ้นไทยเดือนนี้อยู่ที่ 1,180-1,200 จุด แนวรับต่อไปที่ 1,140-1,150 จุด และ 1,100 จุดตามลำดับ และแนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1,250 และ 1,270 จุด ตามลำดับ
นอกจากนี้ บล.ทิสโก้ยังเพิ่มทางเลือกการลงทุนสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นต่างประเทศโดยผ่าน DR และ DRx โดยบล.ทิสโก้มองการประชุม 2 สภาของจีนในช่วงต้นเดือนนี้เป็นอีกจุดเปลี่ยนสำคัญของจีนที่จะหันกลับมาเน้นการบริโภคและลงทุนภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับความก้าวหน้าในเชิงของการพัฒนาชิป ในเดือนมกราคมนี้ บล.ทิสโก้จึงแนะนำ HK01 ที่เป็นตัวแทนของตลาดฮ่องกงที่มีสัดส่วนหลักเป็นการเงินและเทค กับ PINGAN80 บริษัทประกันที่มีระดับการประเมินมูลค่าไม่แพง