ดูเหมือนว่าบรรดาอาคารสำนักงานที่ผุดขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นดอกเห็ด กำลังสวนทางกับแนวคิดการทำงานรูปแบบใหม่ขององค์กรในปัจจุบัน เพราะหลายๆ องค์กรในประเทศไทย แม้มีพนักงานเพิ่ม แต่ก็พยายามลดพื้นที่สำนักงานลง เพราะค่าเช่าอาคาร คือต้นทุนตัวสำคัญ เกิดเป็นรูปแบบการทำงานแบบไฮบริด ที่มองความสำเร็จของงานเป็นหลัก โดยที่พนักงานไม่ต้องเข้าสำนักงานทุกวัน แต่สามารถนั่งทำงานที่ไหนก็ได้
และ IWG หรือ อินเตอร์เนชันแนล เวิร์คเพลซ กรุ๊ป ผู้ให้บริการโซลูชั่นการทำงานแบบไฮบริดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก็เฝ้าติดตามเทรนด์นี้อย่างใกล้ชิด และมองตลาดประเทศไทย เป็นตลาดสำคัญของอาเซียน ที่มีแผนในการลงทุนขยายพื้นที่การทำงานรูปแบบใหม่ไปทั่วประเทศ
ลาร์ส วิททิก รองประธานอาวุโสภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเหนือ อินเตอร์เนชันแนล เวิร์คเพลซ กรุ๊ป (IWG) กล่าวว่า ตลาดประเทศไทยถือเป็นผู้นำในอาเซียน มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานอย่างรวดเร็วสู่รูปแบบ Flexibility การที่อาคารสำนักงานของเมืองไทยเกิดโอเวอร์ซัพพลาย ถือเป็นเรื่องที่ดีของ IWG เพราะทำให้แต่ละอาคารมีการแข่งขันแย่งชิงผู้เช้ากันสูงขึ้น ต้องมองหาสิ่งใหม่ๆ ที่จะมาดึงดูด ซึ่ง IWG ก็จะเข้าไปสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอาคารเหล่านั้น
ปัจจุบัน IWG มีพื้นที่ให้บริการเพื่อการทำงานในประเทศไทยรวม 47 แห่ง รวมถึงพื้นที่แห่งใหม่ที่เปิดให้บริการในเดือนมกราคมที่ผ่านมา และมีแผนจะเปิดพื้นที่เพิ่มเติมอีกไม่น้อยกว่า12 แห่ง ภายในปี 2568 ภายใต้แบรนด์ Spaces, Regus และ HQ ทั้งในกรุงเทพฯภูเก็ต ชลบุรี พัทยา และระยอง เพื่อมอบความยืดหยุ่นที่โดดเด่นและการเข้าถึงที่สะดวกสบาย ที่ตอบโจทย์ความต้องการของบริษัททุกขนาดในประเทศไทย ประกอบด้วย
- รีจัส กะตะธานี บิลดิง ภูเก็ต
- รีจัส สุภาลัย ไอคอน กรุงเทพฯ
- รีจัส รสา วัน ทาวเวอร์ กรุงเทพฯ
- รีจัส เจพาร์ค นิฮอน มูระ ชลบุรี
- รีจัส ไบรท์ตัน แกรนด์ พัทยา
- รีจัส สตาร์ ไอที เซ็นเตอร์ ระยอง
- สเปซเซส สุทธิ บิลดิง กรุงเทพฯ
- สเปซเซส วานิช เพลซ อารีย์
- สเปซเซส คิงบริดจ์ ทาวเวอร์
- เอชคิว เอส.พี บิลดิง กรุงเทพฯ
- เอชคิว เสริมมิตร ทาวเวอร์ กรุงเทพฯ
- เอชคิว โอเอสซี บิลดิง สมุทรปราการ

“การขยายสาขาใหม่ในประเทศไทยครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความสำเร็จของ IWG ซึ่งทำทั้งสถิติรายได้ กระแสเงินสด และการเติบโตของกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ พร้อมไปกับการเติบโตของเครือข่ายอย่างรวดเร็ว โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 เพียงปีเดียว IWG ได้เซ็นสัญญาเปิดศูนย์ใหม่ถึง 465 แห่งทั่วโลก นอกจากนี้ ความหลากหลายของแนวทางในการพัฒนาพื้นที่การทำงานแต่ละแห่งทั้ง 12 แห่ง ยังสะท้อนถึงศักยภาพของ IWG ในการตอบโจทย์ความต้องการด้านการทำงานแบบไฮบริดของแต่ละตลาด ผ่านกลยุทธ์ที่ปรับให้เหมาะสมกับบริบทในแต่ละพื้นที่นั้น (Highly Localized Approach)” ลาร์ส วิททิก กล่าว
ฐิติวัฒน์ ธนพรนิธินันท์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย อินเตอร์เนชันแนล เวิร์คเพลซ กรุ๊ป (IWG) กล่าวว่า แนวทางการขยายพื้นที่บริการของ IWG ไม่ได้เน้นเพียงแค่ในเมืองใหญ่ แต่ยังมองไปถึงการรองรับความต้องการในเมืองรอง เช่น ขอนแก่น นครราชสีมา บุรีรัมย์ อุดรธานี สุราษฎร์ธานี และหาดใหญ่ เป็นต้น โดยมองหาพันธมิตรเจ้าของพื้นที่ที่ต้องการจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับพื้นที่ ซึ่งไม่เพียงแต่ในรูปแบบอาคารสำนักงาน หากแต่สามารถขยายไปในโครงการมิกซ์ยูส คอมมูนิตี้มอลล์ โรงแรม หรือศูนย์การค้า ก็สามารถทำได้ โดยหากสามารถทำอัตราผู้ใช้บริการได้ตั้งแต่ 20-25% ก็สามารถคืนทุนได้
“ปัจจุบัน IWG มีสมาชิกบริษัทต่างๆ มาใช้บริการมากกว่า 3,000 บริษัท โดยอัตราค่าสมาชิก 2,000 บาทต่อเดือน สามาถใช้บริการได้ทุกสาขาจาก 3 แบรนด์ Spaces, Regus และ HQ ทั้งในไทยและต่างประเทศ และในอนาคตก็จะมีการเปิดแบรนด์ใหม่เพิ่มขึ้นอีก”
ด้าน มาร์ค ดิกซัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง อินเตอร์เนชันแนล เวิร์คเพลซ กรุ๊ป (IWG) กล่าวว่า “กรุงเทพฯ ภูเก็ต ชลบุรี พัทยา และระยอง คือศูนย์กลางมทางธุรกิจที่สำคัญของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นทำเลที่ยอดเยี่ยมและยังสอดคล้องกับแผนการขยายธุรกิจของเราอย่างดีเยี่ยม แนวคิดการทำงานแบบไฮบริดกำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของตลาดแรงงานไทยและทั่วโลก ส่งผลให้ความต้องการพื้นที่ทำงานแบบยืดหยุ่นคุณภาพสูงยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคตอันใกล้”
โดยข้อมูลจาก Global Workplace Analytics ระบุว่า การทำงานแบบไฮบริดช่วยให้บริษัทลดต้นทุนได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉลี่ยสามารถประหยัดงบประมาณได้ถึง 9,000 ปอนด์ต่อพนักงานหนึ่งคน (โดยประมาณ 390,000 บาท)
“พื้นที่การทำงานใหม่ทั้ง 12 แห่งภายใต้แบรนด์ Spaces, Regus และ HQ คือการตอกย้ำกลยุทธ์ Multi-Brand Strategy ของเรา ที่มุ่งตอบโจทย์ทุกกลุ่มธุรกิจ ตั้งแต่สตาร์ทอัพไปจนถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเราในการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี ทั้งในด้านความพึงพอใจของพนักงานและความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยการคัดสรรทำเลที่เหมาะสมและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ขยายเครือข่ายพันธมิตรในประเทศไทย และตั้งตารอที่จะร่วมมือกันผลักดันประสิทธิภาพและการดำเนินงานของธุรกิจให้เติบโตต่อไปในอนาคต”
การเปลี่ยนแปลงไปสู่การทำงานแบบไฮบริดกำลังเพิ่มความเร็วขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีศักยภาพในการเติบโตอย่างมหาศาล โดยคาดว่ามีพนักงานในกลุ่ม white-collar ทั่วโลกประมาณ 1.2 พันล้านคน และขนาดตลาดที่สามารถเข้าถึงได้ทั้งหมดมีมูลค่ากว่า 1.57 ล้านล้านปอนด์ (ประมาณ 68.46 ล้านล้านบาท) การใช้พื้นที่สำนักงานแบบดั้งเดิมจะยังคงลดลง เนื่องจากธุรกิจต้องการพื้นที่ที่ไม่ใช่สำนักงานแบบเดิม และหันมาใช้พื้นที่ทำงานแบบยืดหยุ่นแทน โดยในปี 2023 IWG ต้อนรับพันธมิตรใหม่ในกว่า 800 พื้นที่ และมีลูกค้ารวมถึง 83% ของบริษัทใน Fortune 500
“ด้วยการเติบโตของตลาดที่ก้าวกระโดดเนื่องจากการที่บริษัททุกขนาดหันมาใช้รูปแบบการทำงานในแบบไฮบริด ในระยะยาว คาดการณ์ว่า 30% ของพื้นที่สำนักงานเชิงพาณิชย์ทั่วโลกจะกลายเป็นพื้นที่ทำงานที่ยืดหยุ่นได้ภายในปี 2573 ด้วยความร่วมมือกับ IWG พันธมิตรสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสในตลาดที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว พร้อมได้รับการสนับสนุนจากประสบการณ์ระดับโลกของ IWG” มาร์ค ดิกซัน กล่าว