IWG ชูไทยเป็นผู้นำการทำงานแบบไฮบริด ของอาเซียน เดินเกมขยายพื้นที่ทำงานรองรับความต้องการทั่วประเทศ 

846
jhdr_vivi

ดูเหมือนว่าบรรดาอาคารสำนักงานที่ผุดขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นดอกเห็ด กำลังสวนทางกับแนวคิดการทำงานรูปแบบใหม่ขององค์กรในปัจจุบัน  เพราะหลายๆ องค์กรในประเทศไทย แม้มีพนักงานเพิ่ม แต่ก็พยายามลดพื้นที่สำนักงานลง เพราะค่าเช่าอาคาร คือต้นทุนตัวสำคัญ  เกิดเป็นรูปแบบการทำงานแบบไฮบริด  ที่มองความสำเร็จของงานเป็นหลัก โดยที่พนักงานไม่ต้องเข้าสำนักงานทุกวัน แต่สามารถนั่งทำงานที่ไหนก็ได้ 

และ IWG หรือ อินเตอร์เนชันแนล เวิร์คเพลซ กรุ๊ป ผู้ให้บริการโซลูชั่นการทำงานแบบไฮบริดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก็เฝ้าติดตามเทรนด์นี้อย่างใกล้ชิด และมองตลาดประเทศไทย เป็นตลาดสำคัญของอาเซียน ที่มีแผนในการลงทุนขยายพื้นที่การทำงานรูปแบบใหม่ไปทั่วประเทศ

ลาร์ส วิททิก รองประธานอาวุโสภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเหนือ อินเตอร์เนชันแนล เวิร์คเพลซ กรุ๊ป (IWG) กล่าวว่า ตลาดประเทศไทยถือเป็นผู้นำในอาเซียน มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานอย่างรวดเร็วสู่รูปแบบ Flexibility  การที่อาคารสำนักงานของเมืองไทยเกิดโอเวอร์ซัพพลาย ถือเป็นเรื่องที่ดีของ IWG เพราะทำให้แต่ละอาคารมีการแข่งขันแย่งชิงผู้เช้ากันสูงขึ้น  ต้องมองหาสิ่งใหม่ๆ ที่จะมาดึงดูด ซึ่ง IWG ก็จะเข้าไปสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอาคารเหล่านั้น 

ปัจจุบัน  IWG มีพื้นที่ให้บริการเพื่อการทำงานในประเทศไทยรวม 47 แห่ง รวมถึงพื้นที่แห่งใหม่ที่เปิดให้บริการในเดือนมกราคมที่ผ่านมา และมีแผนจะเปิดพื้นที่เพิ่มเติมอีกไม่น้อยกว่า12 แห่ง ภายในปี 2568  ภายใต้แบรนด์ Spaces, Regus และ HQ  ทั้งในกรุงเทพฯภูเก็ต ชลบุรี พัทยา และระยอง  เพื่อมอบความยืดหยุ่นที่โดดเด่นและการเข้าถึงที่สะดวกสบาย ที่ตอบโจทย์ความต้องการของบริษัททุกขนาดในประเทศไทย ประกอบด้วย

  1. รีจัส กะตะธานี บิลดิง ภูเก็ต 
  2. รีจัส สุภาลัย ไอคอน กรุงเทพฯ 
  3. รีจัส รสา วัน ทาวเวอร์ กรุงเทพฯ
  4. รีจัส เจพาร์ค นิฮอน มูระ ชลบุรี 
  5. รีจัส ไบรท์ตัน แกรนด์ พัทยา 
  6. รีจัส สตาร์ ไอที เซ็นเตอร์ ระยอง
  7. สเปซเซส สุทธิ บิลดิง กรุงเทพฯ
  8. สเปซเซส วานิช เพลซ อารีย์
  9. สเปซเซส คิงบริดจ์ ทาวเวอร์
  10. เอชคิว เอส.พี บิลดิง กรุงเทพฯ 
  11. เอชคิว เสริมมิตร ทาวเวอร์ กรุงเทพฯ 
  12. เอชคิว โอเอสซี บิลดิง สมุทรปราการ 

“การขยายสาขาใหม่ในประเทศไทยครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความสำเร็จของ IWG ซึ่งทำทั้งสถิติรายได้ กระแสเงินสด และการเติบโตของกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ พร้อมไปกับการเติบโตของเครือข่ายอย่างรวดเร็ว โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 เพียงปีเดียว IWG ได้เซ็นสัญญาเปิดศูนย์ใหม่ถึง 465 แห่งทั่วโลก นอกจากนี้ ความหลากหลายของแนวทางในการพัฒนาพื้นที่การทำงานแต่ละแห่งทั้ง 12 แห่ง ยังสะท้อนถึงศักยภาพของ IWG ในการตอบโจทย์ความต้องการด้านการทำงานแบบไฮบริดของแต่ละตลาด ผ่านกลยุทธ์ที่ปรับให้เหมาะสมกับบริบทในแต่ละพื้นที่นั้น (Highly Localized Approach)” ลาร์ส วิททิก กล่าว

ฐิติวัฒน์ ธนพรนิธินันท์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย อินเตอร์เนชันแนล เวิร์คเพลซ กรุ๊ป (IWG) กล่าวว่า แนวทางการขยายพื้นที่บริการของ IWG ไม่ได้เน้นเพียงแค่ในเมืองใหญ่ แต่ยังมองไปถึงการรองรับความต้องการในเมืองรอง  เช่น ขอนแก่น นครราชสีมา บุรีรัมย์ อุดรธานี สุราษฎร์ธานี และหาดใหญ่ เป็นต้น โดยมองหาพันธมิตรเจ้าของพื้นที่ที่ต้องการจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับพื้นที่ ซึ่งไม่เพียงแต่ในรูปแบบอาคารสำนักงาน หากแต่สามารถขยายไปในโครงการมิกซ์ยูส  คอมมูนิตี้มอลล์ โรงแรม หรือศูนย์การค้า ก็สามารถทำได้ โดยหากสามารถทำอัตราผู้ใช้บริการได้ตั้งแต่ 20-25% ก็สามารถคืนทุนได้

“ปัจจุบัน IWG มีสมาชิกบริษัทต่างๆ มาใช้บริการมากกว่า 3,000 บริษัท  โดยอัตราค่าสมาชิก 2,000 บาทต่อเดือน สามาถใช้บริการได้ทุกสาขาจาก 3 แบรนด์ Spaces, Regus และ HQ ทั้งในไทยและต่างประเทศ และในอนาคตก็จะมีการเปิดแบรนด์ใหม่เพิ่มขึ้นอีก” 

ด้าน มาร์ค ดิกซัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง อินเตอร์เนชันแนล เวิร์คเพลซ กรุ๊ป (IWG) กล่าวว่า “กรุงเทพฯ ภูเก็ต ชลบุรี พัทยา และระยอง คือศูนย์กลางมทางธุรกิจที่สำคัญของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นทำเลที่ยอดเยี่ยมและยังสอดคล้องกับแผนการขยายธุรกิจของเราอย่างดีเยี่ยม แนวคิดการทำงานแบบไฮบริดกำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของตลาดแรงงานไทยและทั่วโลก ส่งผลให้ความต้องการพื้นที่ทำงานแบบยืดหยุ่นคุณภาพสูงยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคตอันใกล้”

โดยข้อมูลจาก Global Workplace Analytics ระบุว่า การทำงานแบบไฮบริดช่วยให้บริษัทลดต้นทุนได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉลี่ยสามารถประหยัดงบประมาณได้ถึง 9,000 ปอนด์ต่อพนักงานหนึ่งคน (โดยประมาณ 390,000 บาท)

“พื้นที่การทำงานใหม่ทั้ง 12 แห่งภายใต้แบรนด์ Spaces, Regus และ HQ คือการตอกย้ำกลยุทธ์ Multi-Brand Strategy ของเรา ที่มุ่งตอบโจทย์ทุกกลุ่มธุรกิจ ตั้งแต่สตาร์ทอัพไปจนถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเราในการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี ทั้งในด้านความพึงพอใจของพนักงานและความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยการคัดสรรทำเลที่เหมาะสมและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ขยายเครือข่ายพันธมิตรในประเทศไทย และตั้งตารอที่จะร่วมมือกันผลักดันประสิทธิภาพและการดำเนินงานของธุรกิจให้เติบโตต่อไปในอนาคต”

การเปลี่ยนแปลงไปสู่การทำงานแบบไฮบริดกำลังเพิ่มความเร็วขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีศักยภาพในการเติบโตอย่างมหาศาล โดยคาดว่ามีพนักงานในกลุ่ม white-collar ทั่วโลกประมาณ 1.2 พันล้านคน และขนาดตลาดที่สามารถเข้าถึงได้ทั้งหมดมีมูลค่ากว่า 1.57 ล้านล้านปอนด์ (ประมาณ 68.46 ล้านล้านบาท) การใช้พื้นที่สำนักงานแบบดั้งเดิมจะยังคงลดลง เนื่องจากธุรกิจต้องการพื้นที่ที่ไม่ใช่สำนักงานแบบเดิม และหันมาใช้พื้นที่ทำงานแบบยืดหยุ่นแทน   โดยในปี 2023 IWG ต้อนรับพันธมิตรใหม่ในกว่า 800 พื้นที่ และมีลูกค้ารวมถึง 83% ของบริษัทใน Fortune 500

“ด้วยการเติบโตของตลาดที่ก้าวกระโดดเนื่องจากการที่บริษัททุกขนาดหันมาใช้รูปแบบการทำงานในแบบไฮบริด ในระยะยาว คาดการณ์ว่า 30% ของพื้นที่สำนักงานเชิงพาณิชย์ทั่วโลกจะกลายเป็นพื้นที่ทำงานที่ยืดหยุ่นได้ภายในปี 2573 ด้วยความร่วมมือกับ IWG พันธมิตรสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสในตลาดที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว พร้อมได้รับการสนับสนุนจากประสบการณ์ระดับโลกของ IWG” มาร์ค ดิกซัน กล่าว