ดอกเบี้ยขาลง หนุน 4 สินทรัพย์กำไรติดปีก ธ.ทิสโก้ฟันธง เหมาะลงทุนไตรมาส 4 ฝ่าตลาดผันผวน

463

ธนาคารทิสโก้เคาะ 4 สินทรัพย์ เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนช่วงอัตราดอกเบี้ยขาลง เหมาะลงทุนในไตรมาส 4/2567 ได้แก่ 1. หุ้นโลกคุณภาพสูง 2. หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ 3. ตราสารหนี้โลกระยะสั้นคุณภาพดี      4. กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โลก พร้อมแนะนำกลยุทธ์ให้นักลงทุนกระจายพอร์ตการลงทุนลดเสี่ยงตลาดผันผวนจากข่าวเลือกตั้งสหรัฐฯ  

ณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์

ณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ Head of Wealth Advisory ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ หลังเดือนกันยายน 2567 ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.5% สู่ระดับ 4.75% – 5% และคาดว่าช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 จะปรับลงอีก 0.5-0.75% เพื่อหนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯไม่ชะลอตัวมากนัก (Soft Landing) ส่งผลให้เงินไหลเข้าตลาดหุ้น และทำให้มูลค่าหุ้น (Valuation) ของตลาดมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่การเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่กำลังใกล้เข้ามาอาจจะทำให้ภาวะการลงทุนผันผวน จึงแนะนำให้นักลงทุนกระจายพอร์ตการลงทุนไปยัง 4 สินทรัพย์ที่มีโอกาสสร้างกำไรที่ดีหลัง Fed ลดดอกเบี้ย ได้แก่ 1. หุ้นโลกคุณภาพสูง 2. หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ 3. ตราสารหนี้โลกระยะสั้นคุณภาพดี 4. กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โลก 

สำหรับรายละเอียดของแต่ละสินทรัพย์ มีดังนี้  

1.หุ้นโลกคุณภาพสูง (Global Equity) หุ้นบริษัทที่เป็นกิจการที่มีแนวโน้มรายได้และกำไรเติบโตสูงอย่างสม่ำเสมอมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง หนี้สินน้อยและมีความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืนเหนือคู่แข่ง ราคาหุ้นมักจะต้านทานความผันผวนได้ดีกว่าหุ้นกลุ่มอื่นๆ และในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาลงหากพิจารณาจากดัชนี MSCI World ซึ่งเป็นตัวแทนหุ้นดังกล่าว ย้อนหลังไปตั้งแต่ปี 2538 ถึงปี 2562 พบว่า หุ้นโลกคุณภาพสูงสามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้ในระดับ 12% ในช่วง 6 เดือนหลัง Fed ปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรก 

2. หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ (Healthcare Equity) จากผลประกอบการของหุ้นกลุ่ม Healthcare ยังมีการเติบโตที่แข็งแกร่งและไม่ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจ โดยนักวิเคราะห์ใน Bloomberg Consensus คาดว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่ม Healthcare ในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจะเติบโตได้อย่างโดดเด่นถึง 13.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) สูงกว่าการเติบโตของบริษัทในดัชนี S&P500 ที่มีแนวโน้มจะขยายตัวราว 11.2% YoY และหากมองข้อมูลย้อนหลังไปตั้งแต่ปี 2538 ถึงปี 2562 พบว่า หุ้นกลุ่ม Healthcare สามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้ในระดับ 13% ในช่วง 6 เดือนหลัง Fed ปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรก 

3. ตราสารหนี้โลกระยะสั้นคุณภาพดี (Investment Grade Bond) ในช่วงการลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี และ 2 ปี (10 -2Y Spread) มักจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น (อัตราผลตอบแทน US 10 – Year Bond สูงกว่า US 2 Year –  Bond) สะท้อนความหวังของนักลงทุนว่าการผ่อนคลายนโยบายการเงินจะมาพร้อมกับเศรษฐกิจที่จะฟื้นตัวในระยะข้างหน้า ซึ่งเป็นช่วงที่ตราสารหนี้ระยะสั้นมีโอกาสที่จะปรับขึ้นดีกว่า (Outperform ) ตราสารหนี้ระยะยาว จากผลตอบแทนจากส่วนต่างราคา (Capital Gain) โดยธนาคารทิสโก้คาดว่าในช่วง 1 ปีข้างหน้านี้ตราสารหนี้โลกระยะสั้นคุณภาพดีมีโอกาสสร้างกำไรราว 5% 

4.กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โลก (Global REITs) ในภาวะดอกเบี้ยขาลงจะส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินของกองทุน REITs ปรับลดลง หนุนกำไรบริษัทฯ ในระยะข้างหน้า นอกจากนี้ จากข้อมูลย้อนหลังไปตั้งแต่ปี 2538 ถึงปี 2562 พบว่าในช่วง 6 เดือนหลังการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรก การลงทุนในกองทุน Global REITs มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงถึง 7%