บล.ทิสโก้คาดเงิน ‘วายุภักษ์’ หนุนหุ้น ต.ค. ขึ้น ชี้เป็นจังหวะขายทำกำไร

145
อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล

บล.ทิสโก้คาดเงินกองทุนวายุภักษ์หนุนหุ้นไทยเดือนตุลาคมปรับขึ้นช่วงครึ่งเดือนแรก ชี้เป็นโอกาสขายกำไร และรอช้อนซื้อคืนอีกครั้งช่วงครึ่งเดือนหลัง พร้อมให้เป้าหมายเชิงกลยุทธ์สิ้นปี 2567 ที่ 1,500-1,520 จุด และเปิดชื่อหุ้นที่คาดว่างบไตรมาส 3/2567 ออกมาดีและเป้าเงินกองทุน TESG อาจไหลเข้า 

อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า การเริ่มเข้าลงทุนของกองทุนวายุภักษ์ในเดือนตุลาคมนี้ บล.ทิสโก้มองอย่างน้อยน่าจะช่วยหล่อเลี้ยงภาวะตลาดได้ในช่วงครึ่งเดือนแรก แต่ในช่วงครึ่งเดือนหลัง คาดนักลงทุนจะหันมาโฟกัสการประกาศผลประกอบการและใช้ความระมัดระวังมากขึ้นก่อนการเลือกตั้งสหรัฐฯ ในต้นเดือนหน้า ซึ่งปกติตลาดสหรัฐฯ มักจะปรับตัวลง 5-10% ในช่วง 1 เดือนก่อนการเลือกตั้งสหรัฐฯ  

ดังนั้น บล.ทิสโก้แนะนำนักลงทุนหาจังหวะทยอยขายทำรอบกำไรในช่วงครึ่งเดือนแรก รอย่อตัวซื้อคืนในช่วงครึ่งเดือนหลัง โดยคาดหวังตลาดกลับมาเดินหน้าขึ้นต่อในช่วงที่เหลือของปีนี้หลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ มีความชัดเจน หนุนกระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้าต่อ ผสานกับเม็ดเงินกองทุนลดหย่อนภาษีที่ปกติจะไหลเข้ามากสุดในช่วงปลายปีนี้ โดยบล.ทิสโก้มีเป้าหมาย SET Index เชิงกลยุทธ์สิ้นปีนี้ที่ 1,500-1,520 จุด   

 ด้วยเม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์และกองทุน TESG ให้ความสำคัญประเด็น ESG ดังนั้น บล.ทิสโก้จึงคัดเลือกหุ้นที่อยู่ใน SETESG Index ที่มี ESG Rating ระดับ A ขึ้นไป และเป็นหุ้นที่คาดว่างบไตรมาส 3/2567 จะออกมาดี ดังนั้น หุ้นเด่นในเดือนตุลาคม คือ CBG, CK, CRC, HMPRO, MTC, PR9, SIRI และ TTB  ด้านแนวรับสำคัญเดือนนี้อยู่ที่ 1,430 จุด และ 1,410+ – และแนวต้านสำคัญของเดือนนี้อยู่ที่ 1,480 จุด 1,500-1520 จุดตามลำดับ 

สำหรับมุมมองเรื่องค่าเงินบาท การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และหุ้นที่ได้รับประโยชน์หาก ธปท.ปรับอัตราดอกเบี้ยลงนั้น อภิชาติกล่าวว่า หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง และส่งสัญญาณเชิงผ่อนคลายที่ชัดเจนกว่าธนาคารกลางอื่นๆ ส่งผลให้ในช่วงที่ผ่านมาค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่ในอนาคตศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) คาดว่าค่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าไปถึง 32 – 32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ จากแรงหนุนเชิงพื้นฐาน เช่น การเกินดุลบัญชีเดินสะพัด และดุลบัญชีทุนเคลื่อนย้ายที่มีแนวโน้มเกินดุล ประกอบกับเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะเร่งตัวขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงไตรมาส 1 ปีหน้า จะหนุนเงินทุนต่างชาติมีแนวโน้มไหลเข้าต่อเนื่อง  

ทั้งนี้ คาดว่า ธปท. จะเผชิญแรงกดดันมากขึ้นในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง มุมมองกรณีฐานบล.ทิสโก้คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในต้นปีหน้า แต่ก็มีโอกาสเพิ่มขึ้นที่จะลดอัตราดอกเบี้ยได้เร็วกว่านั้น โดย บล.ทิสโก้ขอให้นักลงทุนติดตามการประชุมในวันที่ 16 ตุลาคม ว่ามติการคงดอกเบี้ยจะเปลี่ยนแปลงจากครั้งล่าสุดที่ 6 : 1 หรือไม่ หากมติการลดดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น รวมถึงถ้อยแถลงใน “Press Release” ที่เปลี่ยนแปลงไป ก็จะสะท้อนถึงโอกาสที่ อาจปรับลดดอกเบี้ยเร็วขึ้นเป็นการประชุมครั้งถัดไปในวันที่ 18 ธันวาคม 2567  

” จากการศึกษาวัฎจักรการลดอัตราดอกเบี้ยของ กนง.นับตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมาพบว่า ตลาดหุ้นไทย (SET Index) มักตอบสนองทางบวก (4 ใน 5 วัฎจักรดอกเบี้ยขาลงล่าสุด) โดย SET Index หลังการลดอกเบี้ยในช่วงเวลา 1 เดือน, 2 เดือน, 3 เดือน 6 เดือน และ 12 เดือนพบว่าจะให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ย +7.2%, +7.6%, +10.0%, +22.5% และ +24.4% ตามลำดับ โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มักเคลื่อนไหวดีกว่าตลาด และมีโอกาสชนะตลาดสูงประมาณ 60-80% เรียงลำดับตามผลตอบแทนเฉลี่ยต่อเดือนจากมากไปหาน้อย คือ กลุ่ม PROP ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเดือนละ +3.2%, ICT +2.3%, INSUR +2.2%, BANK +2.0%, HELTH +1.9% และ FIN +1.7%” อภิชาติกล่าว