กระแสการลงทุนในอุตสาหกรรม AI ส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นเอเชียที่เป็นฐานการผลิตฮาร์ดแวร์ที่จำเป็น จับตาเกาหลีใต้และเวียดนามมีโอกาสเติบโตต่อขบวนจากตลาดหุ้นไต้หวัน เช่นเดียวกันตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง มีแนวโน้มการฟื้นตัว ขณะที่หุ้นกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าสหรัฐฯ สามารถเทรดทำกำไรเป็นรอบในหุ้นที่เป็นผู้นำอย่าง Tesla และ BYD ได้
ณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นที่สร้างผลตอบแทนดีที่สุดในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ คือดัชนี Nikkei ตลาดหุ้นญี่ปุ่น โดยปรับตัวขึ้น 18.28% ตามด้วยดัชนี Nasdaq ที่ 18.13% และ S&P500 ที่ 14.48% ขณะที่ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวขึ้นมา 10.21% และตลาดหุ้นอินเดีย 9.40% ขณะที่สินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนสูงสุด คือ Bitcoin ที่ 42.99% ส่วนทองคำให้ผลตอบแทน 12.80% และน้ำมันดิบ 10.40%
ภาพรวมของหุ้นที่สร้างผลตอบแทนได้อันดับต้น ๆ คือหุ้นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเอไอ ได้แก่ Nvidia ที่สร้างผลตอบแทนได้ 149.46% ขณะที่ผลตอบแทนของหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของสหรัฐอเมริกาต่างสร้างผลตอบแทนระดับเลขสองหลักทั้งหมด ยกเว้น Tesla ที่ให้ผลตอบแทนติดลบ
“ครึ่งปีแรก ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีต่อเนื่องจากกระแสการลงทุนเอไอ แต่ที่น่าสนใจคือตลาดหุ้นในเอเชียเริ่มมีความน่าสนใจต่อการลงทุน จากการที่เป็นส่วนหนึ่งของภาคการผลิตฮาร์ดแวร์เอไอที่จำเป็น เช่น ตลาดหุ้นไต้หวัน ซึ่งเป็นประเทศที่ผลิตชิปเป็นอุตสาหกรรมหลักปรับตัวขึ้นถึง 23% ในปีนี้”
ในแง่การลงทุน ตลาดหุ้นที่มีความน่าสนใจในการลงทุนรับกระแสเอไอ คือตลาดหุ้นเกาหลีใต้จากการที่เป็นประเทศผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่กำลังได้รับออเดอร์การผลิตฮาร์ดแวร์ เช่น GPU และชิปเซ็ตต่าง ๆ
แม้ว่าส่วนแบ่งการตลาดจะเป็นรองไต้หวัน แต่ดัชนี KOSPI ของเกาหลีใต้ยังปรับตัวขึ้นมาไม่มากนัก และแนวโน้มถือว่าเป็นขาขึ้น อีกทั้งตลาดยังซื้อขายที่ค่าพีอีเพียงแค่ 10 เท่า ประกอบกับมาตราการกระตุ้นตลาดหุ้นของรัฐบาลเกาหลีใต้ทำให้มีโอกาสที่ดัชนี KOSPI จะปรับตัวขึ้นได้ต่อในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
ขณะที่ตลาดหุ้นเวียดนามแนวโน้มกำลังเป็นขาขึ้นต่อเนื่อง ประกอบกับอาจได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากการที่เอเชียได้รับออเดอร์การผลิตฮาร์ดแวร์ที่จำเป็นต่อการใช้งานเอไอ โดยเฉพาะจากเกาหลีใต้ที่เป็นพันธมิตรด้านการลงทุนที่เหนียวแน่น โดยเวียดนามมีโอกาสที่จะได้เป็นแหล่งผลิตชิ้นส่วนในลำดับรองลงมา ประกอบกับเศรษฐกิจที่ยังเติบโตต่อเนื่อง
ด้านตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง แม้จะชะลอความร้อนแรงลงในเดือนที่ผ่านมา แต่จากแนวโน้มทางเทคนิคยังมีโอกาสที่จะฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง จึงสามารถทยอยสะสมลงทุนได้ต่อ โดยมุ่งเน้นไปที่หุ้นที่เกี่ยวข้องกับด้านเทคโนโลยีเอไอ และผู้ผลิตชิปเซ็ต
“เราสามารถลงทุนในดัชนีตลาดหุ้นเอเชียได้ผ่านกองทุนรวมที่อ้างอิงกับดัชนีตลาดหุ้นต่างประเทศดังกล่าว หรือ ลงทุนผ่านกองทุน ETF ได้เช่นกัน เป็นการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่มีโอกาสเติบโตเป็นทางเลือกนอกจากตลาดหุ้นไทยที่ยังคงมีแรงเทขายต่อเนื่อง เช่นเดียวกับประเทศในกลุ่ม TIP อย่าง อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ที่สร้างผลตอบแทนได้ค่อนข้างต่ำในครึ่งปีแรก”
ทางด้านหุ้นเทคโนโลยีอื่นที่น่าจับตา คือหุ้นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า แม้ว่าภาพรวมของหุ้นในกลุ่มนี้จะยังถูกกดดันจากการแข่งขันตัดราคาขายกันเอง แต่หุ้นที่เป็นผู้นำในกลุ่ม อย่าง Tesla และ BYD ยังสามารถที่จะปรับตัวขึ้นได้ โดยเฉพาะ Tesla ที่ปรับตัวขึ้นกว่า 20% ในช่วงเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน จนสามารถหักลบผลขาดทุนของราคาหุ้น และกลับมาเป็นบวกได้ในที่สุด จากการที่นักลงทุนมองการเติบโตในรอบถัดไปที่มากกว่าการเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า โดยหันมาพัฒนาธุรกิจรถแท็กซี่ไร้คนขับ รวมถึงพัฒนาเอไอมาใช้ในระบบนิเวศน์ทางธุรกิจ ขณะที่ BYD ยังสามารถคงความเป็นผู้นำในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้และกำลังจะกลับมามียอดขายแซงหน้า Tesla ได้อีกครั้ง
“ภาพรวมการลงทุนในกรกฎาคมนี้ สินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเอไอยังเป็นตัวนำในการสร้างผลตอบแทนการลงทุน ถ้าหากต้องการลงทุนในหุ้นที่เพิ่งเริ่มต้นเป็นขาขึ้น ให้จับตามองไปที่ตลาดหุ้นในเอเชียที่เป็นแหล่งผลิตฮาร์ดแวร์ที่จำเป็น ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยียังสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง แต่การที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมาก แนะนำกลยุทธ์การลงทุนให้เน้นการเทรดทำกำไรเป็นรอบ ๆ มากกว่า”