บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TRT ผู้นำตลาดหม้อแปลงไฟฟ้า และอุตสาหกรรมด้านพลังงานรายใหญ่ของประเทศ มั่นใจรายได้ปีอยู่ที่ 2,783 ล้าน หลังความต้องการหม้อแปลงไฟฟ้าในประเทศพุ่งไม่หยุด เผยกำไรไตรมาส 1/67 แตะ 96.28 ล้าน เตรียมขยายการส่งออกไปยังสหรัฐฯ และยุโรป รองรับออเดอร์ในอนาคต
สัมพันธ์ วงษ์ปาน ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TRT เปิดเผยว่า ถิรไทยถือเป็นผู้นําตลาดหม้อแปลงไฟฟ้าและอุตสาหกรรมด้านพลังงานรายใหญ่ของประเทศ โดยในปี 2567 นี้ บริษัทประเมินว่าธุรกิจจะสร้างรายได้ประมาณ 2,783 ล้านบาท
สำหรับรายได้หลักมาจาก 2 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้า (Transformer) ซึ่งมีลูกค้าหลักเป็นหน่วยงานภาครัฐ เช่น การไฟฟ้านครหลวง (MEA) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) รวมถึงบริษัทเอกชนทั่วไป ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 2,130 ล้านบาท รวมถึงการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศทั่วโลก 340 ล้านบาท และรายได้จากฝั่งธุรกิจการให้บริการ 120 ล้านบาท ส่งผลให้การรับรู้รายได้ฝั่งหม้อแปลงไฟฟ้าเฉลี่ยมูลค่า 2,590 ล้านบาท
ส่วนกลุ่มธุรกิจที่ไม่ใช่หม้อแปลง หรือ Non-Transformer เช่น แบตเตอรี่ลิเธียม, รถกระเช้า, รถเครน, และตัวถังหม้อแปลงไฟฟ้าคาดว่าจะทำรายได้ 193 ล้านบาท
สัมพันธ์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของตลาดต่างประเทศนั้น TRT ได้ส่งออกไปยัง Southeast Asia เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ หรือ ศรีลังกา ซึ่งในระยะยาว เรามีแผนส่งออกไปประเทศในยุโรปและ อเมริกา โดยเฉพาะอเมริกา ซึ่งตอนนี้มีการเร่งปรับปรุงไฟฟ้าในประเทศ และมีเร่งการนําเข้าหม้อแปลงจากต่างประเทศ ซึ่งเราได้ประโยชน์จากตรงนี้เช่นกัน คาดว่าตลาดส่งออกของเราจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 50% ตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป
ขณะเดียวกันยอดขายรอรับรู้รายได้ หรือ Backlog ข้อมูล ณ วันที่ 31 มี.ค. 67 อยู่ที่ 1,770 ล้าน โดยไฮไลต์สำคัญ คือ งานหม้อแปลงขนาดใหญ่ที่อยู่ระหว่างผลิตให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย นอกจากนี้บริษัทมีงานประมูลและเสนอราคาทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะมีมูลค่ากว่า 15,271 ล้านบาท ซึ่งมีโอกาสประสบความสำเร็จสร้างเป็นยอดขายและรายได้ประมาณ 20%
โชว์กำไรไตรมาส 1/67 แตะ 96.28 ล้าน
กานต์ วงษ์ปาน เลขานุการบริษัท และผู้จัดการฝ่ายการเงินบัญชีและเทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาส 1/2567 สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มี.ค.67บริษัทมีกำไรสุทธิสำหรับผู้ถือหุ้นใหญ่จำนวน 96.28 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 131.45 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดบัญชีเดียวกันของปี 66 ซึ่งมีผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 35.16 ล้านบาท
สำหรับปัจจัยบวกที่ทำให้บริษัทมีกำไรเพิ่งขึ้นถึง 131.45 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้จากการขาย 750.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 395.10 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 111.10% เนื่องจาก บริษัทฯ มีการส่งมอบหม้อแปลงไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ทั้ง หม้อแปลงไฟฟ้ากำลังและหม้อแปลงไฟฟ้าระบบจำหน่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้าภาครัฐ
นอกจากนี้ บริษัทยังมีรายได้จากการบริการ 46.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 12.52 ล้านบาท คิดเป็น 36.38% เนื่องจากเราได้มุ่งเน้นงานบริการหม้อแปลงไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
สำหรับกำไรขั้นต้นจากการขาย 29.79% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีอัตรากำไร ขั้นต้นเท่ากับ 11.66% เนื่องจากในปี 2567 สถานการณ์ตลาดหม้อแปลงไฟฟ้าดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ส่วนกำไรขั้นต้นจากการบริการ 50.34% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 34.62% เนื่องจาก บริษัทฯ มีงานซ่อมหม้อแปลงเพิ่มสูงขึ้นทำให้ต้นทุนงานซ่อมหม้อแปลงต่อหน่วยลดลง
ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขาย 15.99 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 2.33 ล้านบาท คิดเป็น 12.71% และ ค่าใช้จ่ายในการบริหาร 55.69 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 8.72 ล้านบาท คิดเป็น 13.53% ประกอบกับต้นทุนทางการเงิน 23.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.53 ล้านบาท คิดเป็น 69.57% ด้วยเช่นกัน