PR9 มองผลประกอบการไตรมาส 3/66 โตเด่นจนถึงครึ่งปีหลัง ก้าวเข้าสู่ช่วง High Season จากแรงส่งผลกระทบฤดูฝน ประกอบกับการเปิดเทอมของนักเรียน ย้ำกลยุทธ์เน้นความเชี่ยวชาญในการรักษาพยาบาลโรคยากซับซ้อน รับลมส่งจากการรุกทำตลาดลูกค้าต่างประเทศในกลุ่มอาหรับ และการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนหลังเปิดเมืองพร้อมเดินหน้าปรับปรุงพื้นที่ในอาคารเพื่อเพิ่มศักยภาพเพื่อให้บริการคนไข้ไทยและต่างชาติแบบครบวงจร
นพ.เสถียร ภู่ประเสริฐ รองประธานกรรมการและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทคาดแนวโน้มธุรกิจไตรมาส 3/66 เติบโตเด่นจนถึงครึ่งปีหลัง โดยมีสาเหตุหลักมาจากการก้าวเข้าสู่ช่วง High season ของธุรกิจ โดยผลกระทบจากฤดูฝนส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของจำนวนเคสของโรคไข้หวัด รวมถึงการเปิดเทอมของนักเรียน ที่จะทำให้มีรายได้จากคนไข้กลุ่มเด็กเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ บริษัทยังเห็นโอกาสเติบโตของคนไข้ต่างชาติ ส่วนหนึ่งมาจากการเซ็นสัญญาร่วมกับบริษัทในเครือ แพทริค กรุ๊ปโฮลดิ้ง ที่ได้ทำการตลาดเชิงรุกกับกลุ่มประเทศความร่วมมืออาหรับ หรือ GCC กับบริษัทในเครือ แพทริค กรุ๊ปโฮลดิ้ง และการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนหลังสถานการณ์โควิดในประเทศจีนเริ่มคลี่คลาย
“บริษัทยังคงยึดมั่นในการเดินกลยุทธ์เน้นความเชี่ยวชาญในการรักษาพยาบาลโรคยากซับซ้อน ผ่านการสร้างแบรนด์และนำเสนอภายใต้สโลแกน “เรื่องสุขภาพ ไว้ใจเรา” โดยในปัจจุบัน ทางบริษัทได้ทำการปรับปรุงพื้นที่อาคาร A ชั้น 2 เพื่อขยาย Capacity เปิดรับผู้ป่วยนอกที่จะเข้ามาในไตรมาสที่ 3/66 รวมถึงได้มีการปรับปรุงเพิ่มศักยภาพพื้นที่การให้บริการแผนก International Center ที่อาคาร A ชั้น 1 เพื่อรองรับการเติบโตของผู้ป่วยต่างชาติที่เข้ามาเพิ่มจากการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical Tourism) ได้แก่ จีน กัมพูชา พม่า ลาว รวมถึงตลาดใหม่อย่างอาหรับ พร้อมให้บริการตั้งแต่ไตรมาส 1/67 เป็นต้นไป” นพ.เสถียร กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทยังคงมุ่งเน้นพัฒนาศูนย์การแพทย์เพื่อรักษาโรคยากซับซ้อน รวมถึงยกระดับศูนย์การดูแลโรคยากซับซ้อน อาทิ ศูนย์โรคไต ศูนย์โรคหัวใจ ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก ศูนย์โรคไทรอยด์ ฯลฯ ด้วยนวัตกรรมที่ทันสมัย และการดูแลป้องกันก่อนเจ็บป่วยเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อาทิ ศูนย์ตรวจสุขภาพ ศูนย์LASIK ศูนย์นิทรารมย์ (Sleep center) ฯลฯ พร้อมนำระบบออนไลน์มาช่วยยกระดับการดูแลรักษาสุขภาพผ่าน 9Care Application เพื่อส่งมอบการดูแลคุณภาพระดับโรงพยาบาลได้ถึงบ้านคนไข้ โดยนำเอาระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) และอุปกรณ์ IoT มาใช้ควบคู่กับแผนการดูแลสุขภาพรายบุคคล ที่คนไข้และญาติสามารถติดตามผลการรักษาได้ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ บริษัทก็ยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรในการต่อยอดการให้บริการทางการแพทย์อย่างครบวงจรอีกด้วย
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/66 บริษัทมีรายได้รวม 1,015.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 35.6 ล้านบาท หรือเติบโต 3.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 980.0 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 121.0 ล้านบาท ลดลง 3.8 ล้านบาท หรือ 3.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 124.8 ล้านบาท แม้ว่าเดิมในไตรมาส 2 ของทุกปี ปกติจะเป็นช่วง Low season ของบริษัท แต่รายได้ที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้มาจากการฟื้นตัวของกลุ่มคนไข้ทั่วไปและผู้ป่วยแผนกเฉพาะทาง กลุ่มผู้ป่วยไทยต่างชาติที่เริ่มกลับมาเป็นปกติ ทั้งนี้ แม้บริษัทมีรายได้ที่เกี่ยวกับ COVID-19 (รวมวัคซีน Moderna) ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีที่แล้ว บริษัทก็ยังสามารถรักษาอัตราการเติบโตของลูกค้ากลุ่ม Non-Covid ได้เพิ่มขึ้นถึง 9%