“บมจ.เจดีฟู้ด” หรือ JDF พร้อมเทรดวันแรกใน SET 7 เมษายนนี้ หลังโชว์กระแสตอบรับในการจองซื้อหุ้น IPO ล้นหลาม สะท้อนความเชื่อมั่นจากนักลงทุน โดยบริษัทฯ เตรียมเดินหน้าขยายธุรกิจ เงินที่ได้ใช้เสริมศักยภาพการผลิต ตลอดจนการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีโอกาสเติบโตสูง และบุกตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่ม CLMV ประเทศจีนตอนใต้และประเทศอินเดีย มองเป็นโอกาสผลักดันรายได้ให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดด ด้านบทวิเคราะห์ ระบุ JDF ในปี 65 คาดกำไรฟื้นตัวโดดเด่น หลังโควิดคลี่คลาย โดย 6 โบรกเกอร์ชั้นนำ ให้ราคาเหมาะสมเฉลี่ยที่ 3.47-4.20 บาท/หุ้น
รัตนา เอี้ยประเสริฐศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจดีฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ JDF กล่าวว่า บริษัทฯ พร้อมเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในวันที่ 7 เมษายน 2565 นี้ โดยใช้ชื่อย่อ ‘JDF’ ในการซื้อขายหลักทรัพย์ และเชื่อมั่นว่าด้วยศักยภาพของบริษัทฯ ในธุรกิจเครื่องปรุงรสและอาหารแปรรูป พร้อมสร้างผลประกอบการที่ดีในระยะยาว เนื่องจากอุตสาหกรรมอาหาร เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศ โดยกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ของ JDF เป็นแบรนด์ชั้นนำในอุตสาหกรรมอาหาร อาทิ กลุ่มบะหมี่สำเร็จรูป ขนมขบเคี้ยว และธุรกิจร้านอาหารที่มีการขยายสาขาใหม่อย่างต่อเนื่อง (Food chain) อีกทั้ง ได้ต่อยอดความสำเร็จมายังผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าของบริษัทเอง และมีการขยายไปยังตลาดต่างประเทศเพิ่มเติม
จากความไม่หยุดนิ่งในการนำนวัตกรรมมาพัฒนาสูตรอาหารให้ตรงใจลูกค้า ปัจจุบัน บริษัทฯ ได้วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์กลุ่มใหม่ที่มีโอกาสเติบโตสูง อาทิ กลุ่มแป้งชุบแป้งทอดสำเร็จรูป Better Mix ซึ่งได้รับคำสั่งซื้อจากลูกค้าเข้ามาเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการศึกษาและวิจัยนวัตกรรมทางอาหารในรูปแบบต่าง ๆ เพิ่มเติม ได้แก่ สินค้าผักและผลไม้อบแห้งรองรับตลาดขนมขบเคี้ยวสาย Healthy Food ที่ใช้เทคโนโลยีการอบ 100% และ อาหารโปรตีนจากพืช (Plant base) รวมถึงต่อยอดกลุ่มสินค้าอาหารกึ่งสำเร็จรูปที่เป็นแบรนด์ของบริษัท เป็นต้น ตอกย้ำการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเครื่องปรุงรสและอาหารแปรรูประดับประเทศ ด้วยผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างยั่งยืน โดยตั้งเป้ารายได้ปี 2565 จะเติบโตในระดับไม่ต่ำกว่า 25% จากปีก่อน
ด้าน เอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า หุ้นของ JDF เป็นหนึ่งในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง สะท้อนจากธุรกิจอาหารที่เป็นหนึ่งในปัจจัยสี่และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี แม้ว่าหุ้นในหมวดอาหารจะได้รับผลกระทบจากการปิดเมืองหลังเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 แต่ประเมินว่าในปี 2565 สถานการณ์จะเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ส่งผลเชิงบวกต่อรายได้และกำไร
โดยจุดแข็งของ JDF คือเป็นหุ้น Food Technology มีทีมวิจัยคิดและพัฒนาสูตรเฉพาะร่วมกับลูกค้า ดังนั้นลูกค้าจะมีคำสั่งซื้อในระยะยาว เพื่อคงรสชาติของสินค้าไม่ให้เปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสมีความจำเป็นสำหรับธุรกิจ Food chain เพื่อควบคุมรสชาติของอาหารให้เหมือนกันในทุกสาขา ดังนั้น ภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศเริ่มกลับมาฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 4/2564 ที่ผ่านมา มองว่าปี 2565 จะเป็นปีที่ JDF สามารถเติบโตได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ กำลังการผลิตที่รองรับโอกาสในอนาคตไว้แล้ว จะสนับสนุนแผนการขยายตลาดใหม่ๆ และสามารถรับรู้เป็นรายได้ทันที
ส่วน กิตติพันธ์ ภูษณวรรณ กรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า การเสนอขายหุ้น IPO ของ JDF ในช่วงที่ผ่านมา จำนวน 150 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 2.60 บาท ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเกินกว่าคาดหมาย ตอกย้ำถึงศักยภาพและความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในครั้งนี้ เชื่อว่าสนับสนุนเป้าหมายการขยายช่องทางไปยังตลาดต่างประเทศ CLMV ตามแผนระยะยาว 3-5 ปีของบริษัท และแผนจัดตั้งห้องแลปหรือสำนักงานขายในต่างประเทศ รวมไปถึงจะใช้เงินเพื่อลงทุนในการวิจัยและพัฒนา เพื่อรองรับการขยายฐานการผลิตและยอดขายที่เพิ่มมากขึ้น รองรับโอกาสการเติบโตในอนาคต ขณะที่ บทวิเคราะห์จาก 6 บริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ ให้ราคาเหมาะสมหุ้น JDF เฉลี่ยที่ 3.47-4.20 บาท/หุ้น
สำหรับบทวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก ระบุว่า ผลประกอบการของ JDF ในปี 65 คาดว่าจะกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง สาเหตุหลักจาก เครื่องปรุงรสอาหารที่ได้มาตรฐานความปลอดภัยทางอาหารจากสมาคมผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกอังกฤษ จะทำให้บริษัทฯ เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเชนร้านอาหารขนาดใหญ่ได้มากขึ้น กำลังซื้อจากลูกค้าเดิมที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ที่กลับมาหลังการเปิดเมืองการเข้าสู่ตลาดใหม่โดยการเพิ่มสายการผลิต ผลิตภัณฑ์กลุ่มแป้งชุบทอดสำเร็จรูป Better Mix และธุรกิจ B2C มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ตั้งแต่มกราคม 2565 ภายใต้ตราสินค้า “GOOD EATS” ซึ่งเป็นซุปผงสำเร็จรูปไม่ใส่ผงชูรส โดยวางจำหน่ายผ่านช่องทาง Online และ Modern Trade รวมทั้งการขยายตลาดสู่ CLMV โดยราคาประเมินเหมาะสมปี 2565 อยู่ที่ราคา 4.20 บาทต่อหุ้น