PIN พร้อมก้าวสู่การเติบโตรอบใหม่ รับไตรมาส 4 ฟื้นตัวโดดเด่น เดินหน้าเร่งโอนที่ดินให้แก่ลูกค้า

161

บมจ.ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค หรือ PIN ประเมินไตรมาสสุดท้ายเริ่มฟื้นตัวและพร้อมก้าวสู่การเติบโตรอบใหม่ หลังความเชื่อมั่นนักลงทุนปรับตัวดีขึ้นจากปัจจัยภาครัฐกดปุ่มเปิดประเทศดึงนักลงทุนต่างชาติ เข้าลงทุนในไทย เตรียมโอนที่ดินในโครงการนิคมอุตสาหกรรม PIN3 PIN4 PIN5 และ PIN6 ให้แก่ลูกค้าในปลายปีนี้ ขณะที่กลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำและสม่ำเสมอ คาดทั้งปีเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% พร้อมเผยผลงาน 9 เดือนแรกปีนี้ ทำรายได้รวม 430 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 103 ล้านบาท   

พีระ ปัทมวรกุลชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ  PIN เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินงานในไตรมาสสุดท้ายปีนี้ประเมินว่าจะฟื้นตัวที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและพร้อมก้าวสู่การเติบโตรอบใหม่ หลังจากภาครัฐมีนโยบายเปิดประเทศตั้งแต่ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ที่ส่งผลต่อบรรยากาศความเชื่อมั่นของนักลงทุนในต่างประเทศที่ต้องการเข้าลงทุนตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย เป็นผลบวกต่อการดำนินงานของบริษัทฯ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจจากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่พัฒนาแล้วให้แก่นักลงทุนต่างชาติที่คาดว่ากลับมาขยายตัวอีกครั้ง จากเดิมที่ชะลอตัวไปเมื่อไตรมาสก่อนจากสถานการณ์โควิด 19 ซึ่งบริษัทฯ ได้ขายที่ดินที่พัฒนาแล้วและรอโอนประมาณ 125 ไร่ แบ่งเป็นโครงการนิคมอุตสาหกรรม PIN3, PIN4, PIN5 ประมาณ  65 ไร่ และโครงการนิคมฯ PIN6 ซึ่งเป็นโครงการใหม่ที่เริ่มพึ่งเปิดขายอีก 60 ไร่ คาดว่าจะสามารถโอนให้แก่ลูกค้าได้ประมาณ 50% ภายในปีนี้ และที่เหลือจะโอนในช่วงปีหน้า

               ขณะเดียวกัน กลุ่มธุรกิจจากการให้เช่าและบริการที่เป็นรายได้ประจำและสม่ำเสมอ (Recurring Income) คาดว่าจะดีขึ้นเช่นกัน ซึ่งมีปัจจัยมาจากรายได้จากการให้บริการเช่าโรงงานและคลังสินค้าในพื้นที่โลจิสติกส์ ปาร์ค และค่าบริการสาธารณูปโภคภายในโครงการที่ขยายตัวต่อเนื่องตามกิจกรรมทางการผลิตของลูกค้าในนิคมฯ ที่เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับกับภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัว และฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้น  ส่งผลทั้งปีกลุ่มธุรกิจ Recurring Income  จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10%

               อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-กันยายน 2564) ยังคงได้รับแรงกดดันจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้รายได้รวม 430 ล้านบาท ลดลงต่ำลงเมื่อเทียบกับงช่วงเดียวกันปีก่อน โดยรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นที่ดินพัฒนาแล้วให้แก่ลูกค้าลดลง 56% แต่ในส่วนรายได้จากการให้เช่าและบริการยังคงรักษาการเติบโตที่ระดับ 8% สะท้อนถึงศักยภาพการบริหารจัดการโครงการนิคมอุตสาหกรรมที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี เป็นผลให้สัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจ Recurring Income ปรับเพิ่มเป็น 35% จากปีก่อนที่มีสัดส่วนเพียง 18% รวมถึงการบริหารจัดการด้านต้นทุนที่อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ ทำให้มีกำไรสุทธิ 103 ล้านบาท

               “เรามองว่าผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาถือเป็นจุดต่ำสุด และเห็นสัญญาณการปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายปีนี้จากบรรยากาศการค้าการลงทุนที่ปรับตัวดีขึ้นหลังภาครัฐเปิดประเทศ โดยมีนักลงทุนต่างชาติเริ่มติดต่อขอดูทำเลที่ตั้งโครงการและซื้อที่ดินเพื่อตั้งโรงงานผลิตสินค้าในนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง คาดว่าจะโอนที่ดินได้บางส่วนภายใน 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้” พีระ กล่าว

ส่วนในปีถัดไป บริษัทฯ ประเมินว่าผลการดำเนินงานจะขยายตัวโดดเด่น ทั้งกลุ่มธุรกิจการขายที่ดินพัฒนาแล้วในนิคมอุตสาหกรรมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 50% หากเทียบกับปริมาณการขายที่ดินเมื่อปี 2563 ที่ทำได้ประมาณ 200 ไร่ รวมถึงรายได้จากกลุ่ม Recurring Income จากการค่าเช่าที่ดินพร้อมอาคารโรงงานและคลังสินค้าที่ปรับตัวขึ้นตั้งแต่ครึ่งปีหลังของปี 2565 หลังเริ่มเปิดให้บริการโลจิสติกส์ปาร์คแห่งใหม่ และรายได้จากการให้บริการสาธารณูปโภคยังขยายตัวตามปริมาณการใช้และกิจกรรมทางการผลิตที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน