1 ปีสร้าง 3 ปีเปลี่ยน LPN วางยุทธศาสตร์คืนบัลลังก์หัวแถวอสังหาริมทรัพย์เมืองไทย

722

ในบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หากจะพูดถึงบริษัท หรือโครงการที่เป็นขวัญใจผู้มีรายได้น้อย แต่อยากมีบ้าน หรือคอนโดระดับแบรนด์เนมที่เชื่อถือได้ ก็ต้องยกให้ บ้านลุมพินี หรือ แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์

ด้วยอายุของบริษัทที่ยาวนานมาถึง 32 ปี แสดงให้เห็นถึงฝีมือการบริหาร โดยเฉพาะการก้าวผ่านช่วงเวลาวิกฤตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง เมื่อปี 2540  โดยแอล.พี.เอ็น.สามารถปลดหนี้ที่มีอยู่ทั้งหมดกว่า 3 พันล้านบาทในเวลาเพียง 5 ปี  ส่งให้บริษัทเดินหน้าอย่างเต็มที่จนกลายเป็นแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ขวัญใจคนกลางๆในสังคมไทยในปัจจุบัน และปีที่ผ่านมาก็ถือเป็นปีที่ต้องวัดฝีมือการบริหารฝ่าวิกฤตอีกครั้ง 

โอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN)  กล่าวว่า สภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำในช่วงวิกฤตโควิด-19 ตลอดปีที่ผ่านมาทำให้ยอดขายคอนโดมิเนียมในตลาดหดหายไปอย่างน่าตกใจ เป้าหมายยอดขายของบริษัทฯ ที่ตั้งไว้ 1 หมื่นล้านบาท มีการปรับลดเป้าลงเหลือเพียง 3,000-4,000 ล้านบาท แต่ด้วยนโยบายปรับลดรายจ่ายอย่างรัดกุม ประกอบกับ 3 โครงการใหม่ที่เปิดตัวในปีที่แล้ว ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทำรายได้สูงเป็นสถิติใหม่ ราว 2,700 – 3,400 ล้านบาท ทำให้รายได้ของบริษัทฯ โดยรวมสามารถปิดที่ 7,362 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 734 ล้านบาท  สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้เท่าตัว

“จากเป้าหมายหมื่นล้านบาท เราเคยปรับเป้าประคองให้มีรายได้เพียงเดือนละ 100 ล้านบาทเท่านั้น โดยจะไม่มีการลดเงินเดือน หรือลดพนักงานลง แต่ทุกคนต้องร่วมมือกันลดค่าใช้จ่าย และการทำการตลาดที่ทำให้ยอดขายกลับมาจนถือเป็นปีที่ดีของผม ในฐานะผู้นำองค์กรที่สามารถนำองค์กรผ่านพ้นวิกฤตนี้มาได้” 

โอภาส กล่าวถึงเส้นทางของแอล.พี.เอ็น.จากนี้ว่า  บริษัทได้วางยุทธศาสตร์แผน 3 ปี (2565-2567) ให้เป็นปีของการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่การเป็นองค์กรที่มีอัตราการเติบโตในด้านของรายได้ และความสามารถในการทำกำไรอย่างยั่งยืน ผ่านการบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ การใช้ข้อมูล (Big Data) มาวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้า (Customer Insight) เพื่อการพัฒนาทั้งบ้านพักอาศัย และอาคารชุดพักอาศัย ให้มีฟังก์ชั่นการใช้งาน ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าในทุกมิติในระดับราคาที่เหมาะสม (Affordable Price) สำหรับผู้ซื้อในทุกกลุ่มภายใต้แนวคิด “ความพอดีที่ดีกว่า : The Better Balanc

โอภาสกล่าวต่อว่า ตั้งแต่ปีหน้าต่อไปอีก 3 ปี บริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะเทิร์นอะราวด์ธุรกิจให้กลับมาอยู่ในระดับแนวหน้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เมืองไทยอีกครั้ง กลับมาอยู่ในพื้นที่ที่แอล.พี.เอ็น.เคยอยู่คือ TOP 5 ด้วยรายได้ไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาท และเพื่อไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ ในปีนี้จึงเป็นปีที่เราปรับโครงสร้างองค์กร (Reorganization) จากโครงสร้างการทำงานตามหน้าที่(Functional Organization) สู่การบริหารงานในรูปแบบของหน่วยธุรกิจ (Business Unit) รวมถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการปรับปรุงกระบวนการทำงาน (Digital Transform)  เพื่อให้การทำงานมีความคล่องตัวในการตัดสินใจ และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารค่าใช้จ่ายและต้นทุนในการดำเนินงาน ยกระดับการบริหารประสบการณ์ลูกค้า ผ่านแพลตฟอร์มที่สร้างเครือข่ายงานบริหารทางธุรกิจ

“ปีนี้เป็นปีของการเตรียมความพร้อมก่อนที่จะเราจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปี 2565-2567 โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างรายได้ไม่น้อยกว่า 16,000 ล้านบาทในปี 2567 ซึ่งเป็นระดับรายได้ที่เราเคยทำได้ในปี 2558 หลังจากที่เราสามารถก้าวข้ามผ่านความเสี่ยงทางธุรกิจที่เกิดขึ้นในปี 2563 สามารถรักษาความสามารถในการสร้างรายได้และกำไร ไว้ได้ในอัตราที่เหมาะสมถึงแม้จะเผชิญกับการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสสายพันธ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ที่ทำให้ทุกภาคธุรกิจต้องปรับตัวรวมทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์” โอภาส กล่าว

โดยนอกจากปรับโครงสร้างขององค์กรแล้ว โอภาสยังได้กำหนดแผนในการทำธุรกิจโดยมุ่งให้ทุกหน่วยธุรกิจ “เพิ่มรายได้และบริหารต้นทุน” โดยกำหนด 4 ยุทธศาสตร์หลัก ประกอบด้วย

การรุกตลาดบ้านพักอาศัยเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ซื้อในปัจจุบัน เน้นการเปิดตัวโครงการบ้านพักอาศัยเพิ่มขึ้นเพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของผู้ซื้อในตลาดที่ให้ความสนใจซื้อบ้านพักอาศัยทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮ้าส์ เพิ่มขึ้น หลังการแพร่ระบาดของ COVID-19

ในปีหน้า แอล.พี.เอ็น. มีแผนเปิดตัวบ้านพักอาศัย 6 โครงการ มูลค่า 5,500 ล้านบาท เป็นโครงการบ้านเดี่ยว สำหรับตลาดพรีเมี่ยมในระดับราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ภายใต้แบรนด์ “บ้าน 365” 1-2 โครงการ มูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท  ในย่านใจกลางเมืองในพื้นที่ขนาดเล็ก แต่มีความเป็นส่วนตัวสูงภายใต้แนวคิด “Private Resident” เพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของผู้ซื้อในกลุ่มนี้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยใจกลางเมืองและมีความเป็นส่วนตัว และโครงการบ้านพักอาศัยภายใต้แบรนด์  “บ้านลุมพินี ทาวน์เพลส” และ “บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์” ที่ระดับราคาไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อหน่วย ประมาณ 3-5 โครงการ มูลค่าประมาณ  2,500 ล้านบาท  โดยออกแบบฟังก์ชั่นการใช้งานทาวน์เฮ้าส์หน้ากว้างที่สามารถจอดรถได้ 3 คัน เพื่อสมาชิกทุกคนในครอบครัว 

แอล.พี.เอ็น. มีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้บ้านพักอาศัยจาก 20% ในปี 2563 เป็น 30% ในปี 2564 และมีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้ของบ้านพักอาศัยขึ้นมาอยู่ที่ 50% ภายในปี 2567 ในขณะเดียวกันยังคงรักษารายได้จากโครงการอาคารชุดพักอาศัยในปี 2564 ให้มีสัดส่วนไม่ต่ำกว่าปี 2563 โดยมีแผนที่จะเปิดตัวโครงการใหม่ประมาณ 2-3 โครงการ มูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท ในปี 2564 ซึ่งโครงการแรกจะเปิดตัวในไตรมาสสองของปีนี้

ขยายฐานรายได้จากงานบริการ โดยรุกขยายฐานรายได้จากงานบริการเพิ่มขึ้นจากฐานธุรกิจเดิมที่มีอยู่ไปสู่กลุ่มลูกค้าใหม่นอกเหนือจากของแอล.พี.เอ็น. โดยมีการนำแพลตฟอร์มธุรกิจ (Business Platform) สร้างเครือข่ายกับพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อสร้างรายได้เพิ่มให้กับกลุ่มธุรกิจบริการภายใต้การบริหารของบริษัทในเครือทั้ง บริษัท ลุมพินี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) บริษัท แอล พี ซี วิสาหกิจ เพื่อสังคม จำกัด (LPC) บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (LPN Wisdom) และบริษัท รักษาความปลอดภัย แอลเอสเอส โซลูชั่นส์ จำกัด (LSS) โดยตั้งเป้ารายได้ในส่วนของงานบริการเติบโตไม่น้อยกว่า 20%  ในปี 2564  เทียบกับปี 2563 ที่มีรายได้จากงานบริการและธุรกิจให้เช่าที่ 1,361 ล้านบาท

บริหารจัดการสภาพคล่องทางการเงินเพื่อรองรับกับความเสี่ยงทางธุรกิจ  ในปีนี้แอ.พี.เอ็น.มีนโยบายบริหารสภาพคล่องทางการเงิน โดยชะลอแผนการซื้อที่ดินใหม่เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาอาคารชุดพักอาศัย เนื่องจากบริษัทมีที่ดินที่ซื้อเก็บไว้ในปี 2563 ทั้งสิ้น 6-8 แปลง  สามารถนำมาใช้ในการพัฒนาโครงการอาคารชุดพักอาศัยในปี 2564 ได้ตามแผนที่วางไว้ ประกอบกับปัจจุบันบริษัทมีโครงการอาคารชุดพักอาศัยที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและที่สร้างเสร็จพร้อมขายรองรับกับการเติบโตของธุรกิจได้ต่อเนื่องในปี 2564-2567 จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องซื้อที่ดินใหม่เพื่อการพัฒนาอาคารชุดพักอาศัย ทำให้สามารถรักษากระแสเงินสดเพื่อรองรับกับแผนการลงทุนในด้านอื่นๆ หรือรองรับกับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากความไม่แน่นอนของการควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19

ในขณะเดียวกัน แอล.พี.เอ็. ก็มีแผนที่จะออกหุ้นกู้ประมาณ  3,000 ล้านบาท  เพื่อนำมาใช้ในการชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระคืนในปี 2564 จำนวน 2,000 ล้านบาท และเพื่อลงทุนซื้อที่ดินสำหรับการพัฒนาโครงการบ้านพักอาศัยที่บริษัทมีแผนใช้งบลงทุนประมาณ 4,000 ล้านบาทในปี 2564 โดยที่บริษัทยังคงสามารถรักษาสัดส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt to Equity Ratio) ในสัดส่วนไม่เกิน 1:1 เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับบริษัท

การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทรัพย์สินที่มีอยู่  ปีนี้ แอล.พี.เอ็น.มีแผนที่จะนำเอาทรัพย์สินที่มีอยู่ เช่น อาคารชุดพักอาศัยที่สร้างเสร็จรอขาย มาปล่อยเช่าเพื่อสร้างรายได้ รวมถึงการสร้าง Backlog เพื่อขายในอนาคต ทั้งนี้ บริษัทมีแผนนำที่ดินที่รอการพัฒนาบางส่วนมาพัฒนาในรูปแบบที่แตกต่างออกไป เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับที่ดินที่บริษัทถือครองอยู่ เพิ่มเติมจากที่ดำเนินการไปแล้วในปี 2563 ที่สามารถทำรายได้เติบโตในส่วนนี้ได้ถึง 30%

โดยเป้าหมายจาก 4 ยุทธศาสตร์ในการทำธุรกิจของปีนี้ โอภาส มั่นใจว่า จะรักษาการเติบโตของรายได้ไม่น้อยกว่าปี 2563 แบ่งเป็นสัดส่วนรายได้จากบ้านพักอาศัยประมาณ 30% ของรายได้รวม และรายได้จากอาคารชุดพักอาศัยประมาณ 70% ของรายได้รวม และรายได้ที่มาจากธุรกิจบริการและการเช่าเติบโตประมาณ 20%  วางเป้าหมายที่จะมีรายได้จากการขาย (Presale) ประมาณ 10,000 ล้านบาท ในปี 2564 ซึ่งเป็นเป้าหมายเดิมของปี 2563 โดย ณ สิ้นปี 2563 บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ประมาณ 2,200 ล้านบาท ที่จะรับรู้รายได้ในปี 2564 และมีสินค้าคงเหลือที่พร้อมขายประมาณ 11,000 ล้านบาท

“ปีนี้เป็นปีของการสร้างฐานเพื่อเริ่มก้าวกระโดดในปี 2565  แอล.พี.เอ็น.จะหันมาพัฒนาโครงการเปลี่ยนจากมุมมองเดิมๆ ที่เห็นทุกโครงการของเราเหมือนกันหมด กลายเป็นโครงการที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สร้างความภูมิใจให้กับผู้อยู่อาศัยได้เป็นเจ้าของบ้านในโครงการแอล.พี.เอ็น.”