สารพัดปัจจัยลบรุมเร้าก็ไม่หวั่น BKI มั่นใจ ปิดเป้า 2 หมื่นล้าน

830

แม้ประเทศไทยจะมีรัฐบาลจากการเลือกตั้งที่รอคอยมายาวนาน เข้ามาขับเคลื่อนประเทศ แต่ด้วยสภาพเศรษกิจของโลกที่ตกต่ำจากหลากหลายปัจจัย ก็ไม่ได้ช่วยให้สภาพเศรษฐกิจไทยดีขึ้นได้มากนัก ค่าเงินบาทที่แข็งโป๊ก การส่งออกติดขัด ผลลิตการเกษตรราคาตกต่ำ การจับจ่ายที่ซบเซา กำลงซื้อที่หดหาย ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน ทำให้หลายๆ ธุรกิจมองโอกาสการเติบโตในปีนี้ได้ยาก

แต่ไม่ใช่กับ กรุงเทพประกันภัย !

ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน กรรมการและประธานคณะผู้บริหาร บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI ยอมรับว่า สถานการณ์ในครึ่งหลังของปีนี้ ธุรกิจประกันวินาศภัยจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบหลายประการ ทั้งการส่งออกที่ชะลอตัวจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ยอดจำหน่ายรถยนต์ใหม่ที่เริ่มโตติดลบเป็นครั้งแรกในรอบ 30 เดือน โดยเท่ากับ -2.1% ในเดือนมิถุนายน รวมถึงผลจากการกำหนดเพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV Ratio) ของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เข้มงวดขึ้นและมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 เมษายน 2562 ที่ผ่านมา ส่งผลให้จำนวนที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้หดตัว 36.9%

ในขณะเดียวกันแผนการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมของภาครัฐโครงการใหม่ๆ มีแนวโน้มที่จะเลื่อนออกไป ปัญหาด้านกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังไม่ฟื้นตัว ราคาสินค้าเกษตรหลักยังตกต่ำต่อเนื่อง เช่น อ้อย ยางพารา ปาล์มน้ำมัน อีกทั้งปัญหาภัยแล้งที่ส่งผลต่อพื้นที่เกษตรกรรมเป็นบริเวณกว้าง เป็นต้น

โดยการแข่งขันของบริษัทประกันวินาศภัยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ด้านการประกันภัยทรัพย์สินยังคงมีแนวโน้มการแข่งขันสูง เป็นไปตามภาวะตลาดประกันภัยทรัพย์สินทั่วไปและในช่วงปีหลังๆ ไม่มีมหันตภัยรุนแรง ส่งผลให้อัตราเบี้ยประกันภัยต่อในตลาดโลกมีแนวโน้มคงที่หรือลดลงในช่วงเวลาที่เหลือของปี

ขณะที่ตลาดลูกค้ารายย่อย คาดว่ากลยุทธ์การตลาดที่เด่นชัด คือ การแสวงหาพันธมิตรใหม่เพื่อจำหน่ายประกันภัยให้กับฐานลูกค้าของพันธมิตรผ่านช่องทางออนไลน์หรือแอปพลิเคชัน อาทิ ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ สถาบันการเงิน และผู้ให้บริการรับส่งสินค้า เป็นต้น

ในด้านบริษัทประกันวินาศภัย จะได้เห็นกรมธรรม์ประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองเฉพาะเจาะจงตรงตามความต้องการและพฤติกรรมของแต่ละกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ทำให้มีค่าเบี้ยประกันภัยที่ถูกลง ซึ่งเป็นผลจากการที่บริษัทประกันภัยต่างๆ เริ่มเก็บรวบรวมข้อมูลของลูกค้าให้อยู่ในรูปแบบ Big Data และจัดทำ Data Analytics เพื่อคัดเลือกกลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยงต่ำหรือมีศักยภาพในการขยายตลาด

อย่างไรก็ตาม ดร.อภิสิทธิ์ ก็มีความมั่นใจว่า ผลงานของกรุงเทพประกันภัยในปีนี้ จะยังคงเป็นบวก หลังจากครึ่งปีแรก ทำผลงานได้ดี 

โดยช่วง 6 เดือนของปีนี้  BKI  มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 9,707.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 ด้านกำไรสุทธิจากการรับประกันภัยหลังหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานแล้วทำได้  510.7 ล้านบาท รายได้สุทธิจากการลงทุน 870.9 ล้านบาท และมีกำไรก่อนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 1,381.6 ล้านบาท เมื่อหักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้แล้วบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 1,258.2 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมา และมีกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน  11.82 บาท

และ ดร.อภิสิทธิ์ ก็วางเป้า 6 เดือนสุดท้ายของปีนี้จะทำให้ผลักดันเบี้ยประกันภัยรับรวมได้ถึง 2 หมื่นล้านบาท โดยมีการเติบโตจากปีที่ผ่านมาราว 15.5%

ซึ่งแนวทางการดำเนินงานของบริษัทฯ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 BKI จะเน้นการรับประกันภัยอย่างมีคุณภาพ เพื่อรักษาผลกำไรจากการรับประกันภัย โดยการพิจารณารับประกันภัยอย่างระมัดระวัง และมีการควบคุมความเสี่ยงภัยที่เข้มงวดมากขึ้น โดยวางกลยุทธ์ไว้ 3 ด้าน คือ

การพัฒนาระบบข้อมูลและ Business Intelligence ให้พนักงานเข้าถึงสถิติข้อมูลผลการรับประกันภัยของกรมธรรม์แต่ละประเภทได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว สามารถจำแนกได้ถึงระดับคู่ค้าหรือลูกค้าแต่ละราย เพื่อให้พนักงานมีข้อมูลประกอบการพิจารณารับประกันภัยใหม่หรือต่ออายุกรมธรรม์อย่างครบถ้วน สามารถเสนออัตราเบี้ยประกันภัยได้อย่างเหมาะสมกับระดับความเสี่ยงภัย

วิเคราะห์พอร์ตงาน ผลิตภัณฑ์และแพกเกจที่ผลการรับประกันภัยมีแนวโน้มที่ไม่ดี โดยพิจารณาหาคุณลักษณะหรือปัจจัยของลูกค้าหรือทรัพย์สินที่ทำประกันภัยให้มีความสัมพันธ์กับระดับความเสี่ยง เพื่อปรับขึ้นค่าเบี้ยประกันภัยเฉพาะ Segment ที่มีความเสี่ยงสูงให้เหมาะสม แทนการปรับขึ้นเบี้ยประกันภัยแบบเหมารวมทั้งพอร์ต ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการขยายงานกับ Segment ที่มีความเสี่ยงต่ำไปด้วย

ให้ความสำคัญกับการจัดทำ Risk Survey ก่อนการพิจารณารับประกันภัยอย่างเคร่งครัด โดยบริษัทฯ ได้เพิ่มอัตรากำลัง Risk Engineer เพื่อรองรับนโยบายนี้ตั้งแต่ช่วงต้นปี รวมทั้งให้คำแนะนำกับธุรกิจของลูกค้าเพื่อร่วมกันป้องกันความเสี่ยงภัยที่อาจเกิดขึ้นได้

ขณะที่การรุกในการ บรรลุเป้าหมายเบี้ยประกันภัยรับรวมในปี 2562 ที่ 2 หมื่นล้านบาทนั้น ดร.อภิสิทธิ์ได้วางแนวทางด้านการขยายเบี้ยประกันภัย ประกอบด้วย

เสนอผลิตภัณฑ์ Package ใหม่ที่เจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม มีความคุ้มครองและระดับราคาที่เหมาะสมกับลูกค้าเป้าหมาย โดยล่าสุดบริษัทฯ ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัย 3 โรคกวนใจ ที่คุ้มครองโรคไข้หวัดใหญ่ มือเท้าปาก และโรคร้ายจากยุง นอกจากนี้ ยังมองหาตลาดใหม่ๆ เช่น กลุ่มรถบรรทุก รถหัวลาก ที่มีโอกาสเติบโตตามการเติบโตของธุรกิจโลจิสติกส์

ขยายงานประกันภัยในต่างจังหวัด โดยจะจัดตั้งสาขาใหม่ อีก 3 สาขาที่จังหวัดสมุทรสาคร สุพรรณบุรี และลำปาง ภายในไตรมาส 4 นี้ รวมทั้งการพิจารณาความเป็นไปได้ในการขยายสาขาหรือสำนักงานตัวแทนในต่างประเทศ

การให้ความสำคัญกับการสร้าง Engagement กับลูกค้าและคู่ค้าอย่างต่อเนื่อง นำระบบ CRM มาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพ เช่น จัดทำแผนเยี่ยมเยียนลูกค้า คู่ค้า งานต่ออายุ การจัดแคมเปญการขาย ตลอดจนการสร้างทัศนคติและอบรมพัฒนาให้พนักงานทำหน้าที่เป็น Risk Consultant หรือ Business Partner กับลูกค้าและคู่ค้ามากกว่าการเป็นเพียง Insurer ทั้งนี้ ช่วงครึ่งปีแรกนี้บริษัทฯ มีอัตราการต่ออายุของกรมธรรม์อยู่ในระดับสูงถึง 83% และจะเพิ่มให้ถึง 85% ในสิ้นปีนี้

การลงทุนด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง และพัฒนาการให้บริการทั้งด้านรับประกันภัยและสินไหมทดแทนเพื่อสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าในยุคดิจิตอล โดยนำเทคโนโลยี AI มาช่วยในการให้บริการลูกค้าที่โทรเข้ามาแจ้งอุบัติเหตุและทำเคลมรถยนต์ทางโทรศัพท์ โดยการนำ Robot มาช่วยเพิ่ม Productivity ในการทำงานด้านรับประกันภัยเพื่อให้บริการที่รวดเร็วขึ้น และล่าสุดบริษัทฯ อยู่ในช่วงพัฒนาปรับเปลี่ยน Core Business System (CBS) เพื่อรองรับการขยายธุรกิจของบริษัทฯ ในอนาคต

แผนงานทั้งหมดนี้ คืออาวุธสำคัญที่ ดร.อภิสิทธิ์ และทีมผู้บริหาร BKI มั่นใจว่า แม้สภาพเศรษฐกิจไทยจะยังไม่ฟื้น แต่ BKI ก็ยังแข็งแกร่งพอที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องได้