เศรษฐกิจปีนี้จะถดถอยหรือเปล่า ยังไม่แน่ใจ แต่แนวโน้มการเกิดของเด็กในเมืองไทยปีนี้ และปีไหนๆ เข้าเกียร์ถอยหลังมายาวๆ หลายปีมาแล้ว ย้อนหลังไปราว 30-40 ปีก่อน สถิติการเกิดของเด็กแต่ละปี อยู่ในหลักกว่าล้านคนมาโดยตลอด จนมาถึงหลังยุคเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ผู้คนเริ่มกังวลว่าวิกฤติในรูปแบบนี้ที่ทำชีวิต หน้าที่การงานผู้คนล้มระเนระนาดจะเวียนกลับมาหลอกหลอน อัตราการมีลูกที่เคยมีกันครอบครัวละ 3-4-5 คน ก็ลดลงเหลือ 1-2 คน ตัวเลขเด็กเกิดใหม่ก็ถดถอยลงมาเรื่อยๆ ทุกๆ 3-4 ปีหายไปแสนคน แสนคน จนถึงปี 2559 จำนวนเด็กเกิดใหม่ตลอดปี เหลือเพียง 6.7 แสนคน
แต่สถานการณ์เช่นนี้ กลับไม่กระทบกับตลาดอุปกรณ์ของใช้สำหรับเด็กเล็กมากนัก โดยเฉพาะในตลาดสินค้าระดับพรีเมียม ที่ครอบครัวยิ่งมีลูกน้อย ยิ่งกล้าที่จะใช้จ่ายเต็มที่เพื่อลูก
อรุณศรี พิริยเลิศศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เบบี้ กิ๊ฟ (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้นำตลาดจากสินค้าเครื่องใช้เด็กขนาดใหญ่ระดับพรีเมียม แบรนด์ อะปริกา(APRICA), อาเลเบเบ(AILEBEBE) และ ปรินซ์ แอนด์ ปรินซ์เซส (PRINCE & PRINCESS) เผยถึงแนวโน้มโครงสร้างครอบครัวไทยในปัจจุบันที่พ่อแม่มีลูกไม่เกิน 1-2 คน โดยจากข้อมูลอัตราเจริญพันธุ์ของมารดาของไทยล่าสุดในปี 2561 คือ 1.6 คน และพบว่าในกลุ่มของครอบครัวระดับ B ถึง A+ ในประเทศไทย มีเทรนด์การเลี้ยงลูกที่มีจำนวนน้อยลง ด้วยการทุ่มเทและเลือกสรรผลิตภัณฑ์ และเครื่องใช้ต่างๆ ของเด็ก ที่มีคุณภาพสูง เพื่อการดูแลลูกอย่างปลอดภัย และพิถีพิถัน ส่งผลให้โอกาสทางธุรกิจของผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กระดับพรีเมี่ยมเติบโตขึ้น
เบบี้ กิ๊ฟ มองเห็นแนวโน้มนี้มาตั้งแต่ปี 2552 เล็งเห็นโอกาสการเติบโตของกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กในระดับพรีเมี่ยม โดยยกระดับจากการเป็นร้านจำหน่ายสินค้าสำหรับเด็ก มาเป็นบริษัทผู้นำเข้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ อาทิ เข็นเด็ก, คาร์ซีท (เก้าอี้นั่งนิรภัยในรถสำหรับเด็ก) และสินค้าที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เช่น เป้อุ้ม เตียงนอน แว่นตากันแดด และเก้าอี้ทานข้าว โดยคัดสรรแบรนด์ชั้นนำที่มีคุณภาพเยี่ยมจากญี่ปุ่น ประกอบด้วย แบรนด์ อะปริก้า (APRICA) ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กที่คิดค้นโดยกุมารแพทย์ อันดับหนึ่งจากประเทศญี่ปุ่น, แบรนด์อาเลเบเบ (AILEBEBE) แบรนด์ผู้เชี่ยวชาญผลิตคาร์ชีทมามากกว่า 30 ปี จากประเทศญี่ปุ่น, และสร้างแบรนด์ปรินซ์ แอนด์ ปรินซ์เซส (PRINCE & PRINCESS) ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กที่พัฒนานวัตกรรม และรูปแบบการใช้งานตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ คุณภาพดีในราคาที่เหมาะสม
ตลาดผลิตภัณฑ์ขนาดใหญ่สำหรับเด็ก หรือกลุ่มเฟอร์นิเจอร์ มีมูลค่าอยู่ราว 5,000 ล้านบาท โดยมีแบรนด์สินค้าอยู่มากถึงกว่า 30 แบรนด์ ขณะที่สัดส่วนกลุ่มสินค้าระดับพรีเมียมมีส่วนแบ่งอยู่ราว 20% ซึ่งการที่เกิดแบรนด์ใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดมากขึ้น ทำให้เบบี้ กิ๊ฟ ต้องปรับกลยุทธ์ในการทำตลาดด้วยการใช้กลยุทธ์ OMNI Channel เชื่อมโยงช่องทางออฟไลน์ โชว์รูม เคาท์เตอร์จำหน่าย และร้านค้า ซึ่งเป็นช่องทางดั้งเดิมของการจำหน่าย เข้ากับช่องทางออนไลน์ สื่อสังคมออนไลน์ที่จะเข้าถึงกลุ่มครอบครัวคนรุ่นใหม่ เพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาด
โดย OMNI Channel ประกอบด้วย ช่องทางการเชื่อมโยงถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายผ่าน 5 ช่องทาง ที่จะทำหน้าที่ ตั้งแต่การทำ CRM (Customer Relationship Management) การบริหารจัดการลูกค้า การบริการคลังสินค้า การบริการการรับคำสั่งซื้อ และการสร้างช่องทางการรับชำระเงินได้หลากหลาย ได้แก่
- ช่องทางร้านค้า Baby Gift Showroom ร้านจำหน่ายสินค้าทั้ง 3 แบรนด์ของเบบี้ กิฟท์ ที่ปัจจุบันมีอยู่ 11 สาขา, เคาท์เตอร์ในห้างสรรพสินค้าในเครือเซ็นทรัล และเดอะมอลล์ จำนวน 21 สาขา, ร้านจำหน่ายสินค้าสำหรับแม่และเด็กชั้นนำทั่วประเทศ
- สื่อออนไลน์ เว็บไซต์ www.babygiftretail.com ซึ่งเป็นทั้งช่องทางในการจำหน่ายสินค้าของเบบี้ กิฟท์ออนไลน์ และช่องทางในการสร้างฐานสมาชิกเบบี้ กิฟท์ ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกอยู่กว่า 3,000 ราย และช่องทางการจำหน่ายสินค้าออนไลน์ ทั้ง Shopee, Lazada และ JD Central รวมถึง LINE@babygiftretail
- สื่อโมบายด์ แอพพลิเคชั่น Baby Gift เป็นช่องทางร้านค้า สิทธิประโยชน์ และการสื่อสารของสมาชิกเบบี้ กิฟท์ บนมือถือ
- สื่อโซเชียล มีเดีย ทั้ง เฟสบุ๊ก, ไลน์, ยูทูป และอินสตาแกรม
“เบบี้ กิ๊ฟ มีทั้งรถเข็น หรือคาร์ซีท เป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ให้ความสำคัญ ต้องมีการศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด รวมไปถึงการดูแลบริการอย่างดีระดับพรีเมี่ยม ช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านทาง เบบี้ กิ๊ฟ โชว์รูม ช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้ามาปรึกษา ทดลองสินค้า และรับบริการหลังการขายได้อย่างสะดวก แต่เทรนด์พฤติกรรมของพ่อแม่ยุคใหม่ที่นิยมหาข้อมูลและซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ จนไปถึงขั้นตอนการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) ที่เติบโตขึ้นอย่างมาก เราจึงใช้กลยุทธ์ OMNI Channel เพื่อเชื่อมต่อประสบการณ์ของลูกค้าให้ครบวงจร ด้วยการพัฒนาช่องทางออนไลน์ ให้สามารถหาข้อมูล รีวิว ตัดสินใจซื้อสินค้า และชำระเงินได้ แต่ก็ยังสามารถเข้ามาปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ชมสินค้าจริง และทดลองใช้ รวมไปถึงการบริการหลังการขายที่ร้านได้ “
นอกจากนี้ ในปีนี้ เบบี้ กิ๊ฟ ได้ทุ่มงบการตลาดกว่า 10 ล้านบาท เพื่อสร้างความแตกต่างในการทำการตลาดด้วยแนวคิด “เพราะเด็กทารกพูดไม่ได้” (Listen to baby’s voice) เกิดจากการศึกษาอินไซต์ของพ่อแม่ที่จะต้องตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก เพราะว่าเด็กทารกไม่สามารถสื่อสารได้ว่า ผลิตภัณฑ์ที่พ่อแม่เลือกมาให้นั้นเหมาะกับตัวเด็กหรือไม่ ดังนั้น พ่อแม่แต่ละครอบครัวจึงต้องทำการศึกษาหาข้อมูลเพื่อเลือกสรรสิ่งที่ดีและเหมาะสมที่สุดให้กับลูก โดยจะใช้แนวคิดนี้ในการสื่อสารการตลาดทุกช่องทาง เพื่อสร้างความน่าเชื่อและตอกย้ำความเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กให้กับเบบี้ กิ๊ฟ อย่างแท้จริง รวมไปถึงยังเป็นการให้ความรู้กับพ่อแม่อีกด้วย ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายโดยเบบี้ กิ๊ฟ เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐานสูง มีผลงานการวิจัยและทดสอบจากผู้เชี่ยวชาญและกุมารแพทย์ เพื่อรับรองความปลอดภัย
อรุณศรี เชื่อมั่นว่า กลยุทธ์ OMNI Channel และการสื่อสารการตลาดด้วยแนวคิด “เพราะเด็กทารกพูดไม่ได้” นี้ จะช่วยเร่งยอดขายของเบบี้ กิ๊ฟ ในช่วงไตรมาสสุดท้าย ให้เติบโตได้ตามเป้าหมาย 20% หลังจาก 3 ไตรมาสที่ผ่านมา ตลาดค่อนข้างซบเซา ทำให้ตัวเลขการเติบโตอยู่ในราว 5-10% เท่านั้น
ในปีที่ผ่านมา เบบี้ กิ๊ฟ ทำรายได้ราว 120 ล้านบาท โดยมาจาก 3 กลุ่มสินค้า ประกอบด้วย คาร์ซีท 50%, รถเข็น 40% และสินค้าเครื่องใช้สำหรับเด็กขนาดเล็กอีก 10% ซึ่งในแผนงานจะมีการขยายเพิ่มสินค้าในกลุ่มนี้ อาทิ เครื่องทำสเปรย์ฆ่าเชื้อ สำหรับล้างมือ หรือเช็ดทำความสะอาดเครื่องใช้สำหรับเด็ก, ขวดนม, เครื่องปั๊มนม รวมถึงเครื่องปรุงอาหารสำหรับเด็ก
โดยอรุณศรี มองเป้าหมายเบบี้ กิ๊ฟ ในอนาคตว่า จะรักษายอดขายให้มีการเติบโตปีละ 20% เป็นอย่างต่ำให้ได้ทุกๆ ปี และใน 5 ปีข้างหน้า จะทำรายได้ถึง 300 ล้านบาท