ก้าวใหญ่ “บีไนซ์” ขอเบียดชิดตำแหน่งผู้นำ

2166

ตลาดสบู่ในปัจจุบัน มีมูลค่าราวปีละเกือบ 8,000 ล้านบาท โดยตลาดครีมอาบน้ำกลายเป็นสนามหลักแทนตลาดสบู่ก้อนมาหลายปี ด้วยมูลค่าตลาดปีที่ผ่านมา 4,833 ล้านบาท ทำให้ตลาดนี้น่าจับตาเป็นพิเศษ เพราะ 3 แบรนด์ผู้นำในตลาดต่างมีส่วนแบ่งตลาดที่แทบจะหายใจรดต้นคอกัน

2 แบรนด์ผู้นำในตลาดล้วนมาจากค่ายใหญ่ คือ ลักส์ จากยูนิลีเวอร์ และโชกุบุสซึ โมโนกาตาริ จากไลอ้อน ในเครือสหพัฒน์ ที่มีส่วนแบ่งตลาดเท่ากันที่ 19%  ขณะที่แบรนด์อันดับ 3 เป็นแบรนด์ไทย ที่อยู่ในตลาดมานานถึง 16 ปี  “บีไนซ์” จากนีโอ คอร์ปอเรท  ตามมาที่ 14% ปีนี้ประกาศรุกตลาดครั้งใหญ่ด้วยงบประมาณมากที่สุดในรอบ 16 ปี

ศิริสุภา อาจสัญจร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด  เผยว่า แม้บีไนซ์จะเป็นแบรนด์ที่มีส่วนแบ่งเป็นอันดับ 3 แต่ถือเป็นแบรนด์ที่มีการเติบโตในปีที่ผ่านมาสูงสุดถึง 13% ขณะที่ 2 แบรนด์ผู้นำในตลาดมีการเติบโตเพียงหลักเดียว รวมถึงตลาดครีมอาบน้ำโดยรวมก็มีการเติบโตเพียง 4.7%

“ความสำเร็จของบีไนซ์ ตลอด 16  ปีที่ผ่านมา คือการเป็นแบรนด์ครีมอาบน้ำแบรนด์แรกที่ชูจุดขายครีมอาบน้ำกระชับผิว และเป็นแบรนด์เดียวที่ใช้กลิ่นผลไม้ ขณะที่คู่แข่งอื่นล้วนใช้กลิ่นดอกไม้ จนบีไนซ์สูตรผิวกระจ่างใส สีเขียวกลายมาเป็น Asia Benchmark ให้กับหลาย ๆ แบรนด์ในการพัฒนาสินค้าเพื่อมาขายในตลาดเอเชีย รวมถึงการใช้ภาพยนตร์โฆษณาที่ใช้นางแบบโชว์การอาบน้ำหมู่มาตลอด จนเป็นที่จดจำของผู้บริโภค”

ปีนี้บีไนซ์ได้เตรียมอัดกลยุทธ์รุกตลาดครีมอาบน้ำแบรนด์ ครั้งใหญ่ ด้วยงบการตลาดมูลค่าถึง 300 ล้านบาท สูงที่สุดตั้งแต่เปิดตัวแบรนด์บีไนซ์  เพื่อผลักดันยอดขายเติบโตกว่าปีก่อน 18%  ด้วยเป้ารายได้ 800 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายจะผลักดันรายได้แตะ 1,000 ล้านบาท ในตลาดครีมอาบน้ำภายในปี 2563

แผนการรุกตลาดครั้งใหญ่นี้  เริ่มจากการเปิดตัวสินค้าใหม่ ที่ถือเป็นโปรดักส์ไฮไลท์แห่งปี  “บีไนซ์ มีสทีค ไวท์” (BeNice Mystic White) ครั้งแรกของครีมอาบน้ำบีไนซ์ ที่ร่วมผลิตกับบริษัทน้ำหอมจากนิวยอร์ค  ผสมผสานกลิ่นผลไม้เข้ากับกลิ่นน้ำหอม ตอกย้ำความแตกต่างที่เป็นเอกลักษณ์ของบีไนซ์   เพื่อขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยใช้บีไนซ์ โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิงอายุ 22-35 ปี ที่ดูแลและใส่ใจในตัวเอง

นอกจากนี้ ยังเปิดตัวครีมอาบน้ำที่มีนวัตกรรมใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายตลาด และจับเทรนด์ตลาดใหม่ ๆ สร้างกระแสและสีสันในตลาด โดยการออกคอลเล็คชั่นพิเศษลิมิเต็ด อิดิชั่น “บิงซู” ซึ่งได้รับกระแสการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า รวมถึง บีไนซ์ ดีท็อกซ์ ครีมอาบน้ำสูตรพอกผิวครั้งแรกในเมืองไทย

ด้านแผนการสนับสนุนการตลาด บีไนซ์ เตรียมแจกตัวอย่างสินค้าขนาดทดลอง จำนวน 500,000 ชิ้น ทั่วประเทศ และได้มีการเปิดตัวหนังโฆษณามีสทีค ไวท์ ต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อเจาะเข้าถึงกลุ่มคนทั่วประเทศ ทั้งสื่อออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนยอดวิวทะลุ 15 ล้านวิวในช่องทางยูทูป  โดยแนวคิดของหนังโฆษณาเรื่องใหม่ของบีไนซ์ต้องการสร้างประสบการณ์การอาบน้ำรูปแบบใหม่ โดยการดึงเทคโนโลยีฮาโลแกรม (Halo gram) เข้ามาช่วยสร้างความสนุก ความสดชื่น ในแต่ละฉาก พร้อมกับจังหวะเสียงเพลงสนุกติดหู และท่าเต้นเช็คผิวกระชับ สอดแทรกในหนัง เพื่อต่อยอดกับแคมเปญออนไลน์และกิจกรรม บีไนซ์ เอฟเฟกต์ ชาเลนจ์ (BeNice Effect Challenge) ร่วมเต้นเพื่อกระชับผิว ชิงของรางวัลจากบีไนซ์

“บีไนซ์ตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในปีนี้ให้เป็น 17%  แม้จะยังอยู่ในอันดับ 3 แต่ก็จะเข้าใกล้ผู้นำตลาดทั้ง 2 แบรนด์มากขึ้น”

ศิริสุภา ยังได้กล่าวถึง รายได้รวมทุกกลุ่มสินค้าของนีโอคอร์ปอเรท ภายใต้แบรนด์เอเวอร์เซ้นส์, ทรอส, บีไนซ์, ไฟน์ไลน์, วีไวต์, สมาร์ท โทมิ และดีนี่ ว่า บริษัทตั้งเป้าหมายอยู่ที่ประมาณ 6,200 ล้านบาท เติบโต15% จากปี 2560 แบ่งสัดส่วนเป็นสินค้าของใช้ส่วนตัวหรือเพอร์ซันนัลแคร์ 40% และผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือนหรือเฮาส์โฮลด์ ประมาณ 60%