วอนเกษตรกรช่วยกัน ลด ละ เลี่ยง เลิกการใช้สารพิษ ทำให้ “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” เหมือนยุค “ออเจ้า”

1931

เรื่องโดย : มนตรี บุญจรัส

กรรมการผู้จัดการบริษัท ไทยกรีน อะโกร จำกัด (ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ)

 

แม้ว่าละครเรื่อง “บุพเพสันนิวาส” จะจบอำลาจอไปแล้ว แต่ที่กระแสของละครก็ยังคงเป็น “ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์” อยู่ในขณะนี้ เพราะถือว่าเป็นละครที่มีเรตติ้งสูงมากที่สุดเรื่องหนึ่ง ด้วยเนื้อหาที่แปลกแหวกแนวสร้างสรรค์แตกต่างจากละครเดิมๆ ของไทยในอดีตที่มีแต่ตบตีแย่งชิงเชิงชู้สาวเป็นส่วนใหญ่

ที่สำคัญ ละครเรื่องนี้ยังมีการสอดแทรกขนบธรรมเนียม ประเพณี ประวัติศาสตร์ ที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงอย่างมาก พฤติกรรมของตัวเอกในละครที่ไม่ว่าจะพูดหรือทำอะไรก็จะมีผู้ชมนิยมชมชอบทำตาม และแชร์ตามโลกโซเชียลในชั่วพริบตา

ยกตัวอย่างการนำเสนอเมนูอาหารในเรื่อง เช่น กุ้งแม่น้ำเผา มะม่วงน้ำปลาหวาน ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง หมูโสร่ง เป็นต้น ทำให้ได้ทราบประวัติความเป็นมาของเมนูหรือเรื่องนั้นๆ ด้วย จนสร้างปรากฏการณ์ที่แตกต่างมากถ้าเทียบกับละครเรื่องอื่นๆ

แต่ยังมีอีกหนึ่งมุมหนึ่งที่ทางผู้ผลิตละครเรื่องนี้นำเสนอน้อยไปสักนิดคือ เรื่องของวิถีเกษตรกรรมไทยในสมัยนั้น ซึ่งความจริงน่าจะเป็นยุคที่เรียกได้ว่า “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” เพราะการทำเกษตรกรรมของชาวอยุธยาสมัยนั้นคงยังไม่มีการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่เป็นพิษมากมายเหมือนในปัจจุบันนี้

บ้านเมืองยังคงอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ผู้คนยังดื่มด่ำกับธรรมชาติได้เกือบทั่วทุกตารางนิ้ว น้ำท่าที่ใช้ในการอุปโภคบริโภคตามห้วยหนอง คลองบึงก็ใช้ได้ทันที ไม่ต้องระวังยาฆ่าหญ้า รวมถึงสารกำจัดโรคแมลงอย่างในปัจจุบัน ซึ่งมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอนุญาตให้นำเข้ามาได้อย่างสะดวกโยธินจนยอดปีละหลายหมื่นล้านบาท เพื่อให้เกษตรกรนำไปอาบชโลมลงแปลงเพาะปลูก ตกค้างอยู่ตามป่าต้นน้ำลำธารและยอดเขา เมื่อฝนตกก็ชะล้างสารพิษเหล่านี้ลงไปสู่แหล่งน้ำ ลำคลอง ส่งผลให้น้ำเป็นพิษ กุ้ง หอย ปู ปลา ล้มหายตายจากสูญพันธุ์ไปเป็นจำนวนมาก

ยกตัวอย่าง “ศัตรูพืช ศัตรูข้าว” เช่น หนูนา และปูนา ยังเกือบจะสูญพันธุ์ จนนำมาสู่ความน่าสมเพชเวทนาในปัจจุบันคือ เกษตรกรต้องหันมาเพาะเลี้ยงจำหน่ายขยายพันธุ์ “หนูนา” และ “ปูนา” สร้างรายได้กันอย่างน่าอนาถใจ เพราะในไม่ช้ามันอาจจะล้นและกลับมาทำลายพืชผลของเกษตรกรเอง

ที่โลกกลับตาลปัตรเช่นนี้ ก็เพราะสาเหตุหลักมาจากการใช้สารพิษอย่างไม่บันยะบันยัง จนทำให้ศัตรูพืชที่แพร่กระจายขยายพันธุ์ได้ง่ายยังเกือบสูญพันธุ์และลดน้อยถอยลงดังที่กล่าวไป เพราะสารเคมีที่เป็นพิษถูกส่งไปทำลายล้างเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิต ทั้ง “ชนิดดี” และ “ชนิดร้าย” ในธรรมชาติจนราบคาบหมดสิ้น

และอาจจะไม่เว้นแม้กระทั่ง “มนุษย์” ด้วยก็เป็นได้ ถ้ายังไม่ “หยุด”!!! แล้วเราจะปล่อยให้ประเทศของเราเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ กระนั้นหรือ???…

…เดาไม่ออกเลยว่าอีก 10-20 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ต่อไปคงต้องเพาะเลี้ยงหนอน แมลงศัตรูพืชมาเป็นอาหารกันอีกด้วยหรือไม่

จึงอยากเชิญชวนเหล่าออเจ้าชาวเกษตรกรมาช่วยกัน ลด ละ เลี่ยง เลิกใช้สารพิษกันเถอะ โดยหันมาใส่ใจวิธีการทำเกษตรปลอดสารพิษ เกษตรอินทรีย์ แบบพึ่งพิงอิงธรรมชาติ ใช้ปัจจัยการผลิตจากสิ่งที่มีง่ายๆใกล้ตัว ไม่ว่าจะเป็นเศษไม้ ใบหญ้า ตอซังฟางข้าว พืชสมุนไพรไล่แมลงอย่างขิง ข่า ตะไคร้  ใบมะกรูด ขมิ้นชัน ไพล ฟ้าทะลายโจร ฯลฯ

รวมถึงการใช้จุลินทรีย์ขี้ควาย จุลินทรีย์หน่อกล้วย จุลินทรีย์ขุยไผ่ ทั้งหมดเป็นจุลินทรีย์ท้องถิ่นไทยที่ใช้ในการปราบโรคแมลง ใช้หินแร่ภูเขาไฟไทยในการปรับปรุงบำรุงดิน สร้างระบบนิเวศน์ให้กลับสู่สภาพยุคออเจ้าให้มากที่สุด

วันนี้คนไทยกำลังสนุกและมีความสุขกับละคร “บุพเพสันนิวาส” กำลังนิยมชมชอบชุดไทย แต่งไทย กินขนมไทย อาหารไทย และสถานที่ต่างๆ ในประวัติศาสตร์ไทย แล้วทำไมเราจะกลับไปทำอาชีพเกษตรกรรมแบบไทยๆ บ้างไม่ได้ โดยการใช้จุลินทรีย์สายพันธุ์ไทย ใช้หินแร่ภูเขาไฟไทย ใช้สมุนไพรไทย ตามวิถีการทำเกษตรแบบไทยๆ โดยไม่ต้องใช้สินค้านำเข้าพวกสารเคมีกำจัดโรค แมลง ศัตรูพืชจากต่างประเทศ

…เพียงเท่านี้ก็สามารถช่วยอนุรักษ์ทรัพยากร สิ่งแวดล้อม ผืนแผ่นดินของไทยให้อยู่ยั้งยืนยงไปชั่วลูกชั่วหลานแบบบูรณาการสร้าง “ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ตามนโยบายรัฐบาล “ลุงตู่” ได้อีกทางหนึ่งได้อย่างดีเลยทีเดียวนะขอรับ…