“แสนสิริ” จ่อเปิด 11 โครงการใหม่มูลค่า 2.6 หมื่นล้านรับไตรมาสสุดท้าย ลุ้นทั้งปีกวาดรายได้ทะลุ 4 หมื่นล้าน

1322

“แสนสิริ“ เร่งเครื่องรับไฮซีซั่นไตรมาสสุดท้าย เตรียมเปิด 11 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 2.6 หมื่นล้านบาท ทั้งคอนโดมิเนียม-โครงการแนวราบ เผย 9 เดือนแรกกวาดยอดขายไปแล้ว 2.4 หมื่นล้าน คาดรายได้รวมทั้งปีทะลุ 4 หมื่นล้านบาท

 นายเศรษฐา  ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 4 ซึ่งเป็นไตรมาสสุดท้ายของทุกปีจะเป็นช่วงที่ลูกค้าตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยอย่างคึกคัก โดยเฉพาะในปีนี้ที่สัญญาณเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว และภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2560 คาดว่าจะเติบโตประมาณ 3-4% จึงจะทำให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจและตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้น

โดยในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้บริษัทฯ มีแผนเปิดโครงการใหม่อีก 11 โครงการ มูลค่ารวม 26,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 7 โครงการ มูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท  ซึ่งจะส่งให้ในปีนี้แสนสิริพัฒนาที่อยู่อาศัยได้รวมทั้งสิ้น 19 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 44,700 ล้านบาทตามแผนที่วางไว้

สำหรับผลการดำเนินธุรกิจในช่วง 9 เดือนของปี 2560 นั้นนายเศรษฐา กล่าวว่า บริษัทฯมียอดขาย (พรีเซล) แล้วประมาณ 24,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมียอดขายรวมประมาณ 20,000 ล้านบาท เกือบ 20% โดยยอดขายในรอบ 9 เดือนของปีนี้มาจากยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียม 14,000 ล้านบาท ที่เหลือเป็นยอดขายจากโครงการแนวราบประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยทิศทางการตอบรับด้านที่อยู่อาศัยของลูกค้าในปัจจุบัน ให้การตอบรับที่อยู่อาศัยที่ตรงกับไลฟ์สไตล์มากขึ้น

อาทิ ความสำเร็จของคอนโดมิเนียมแบรนด์ “เฮาส์” (HAUS) ที่ผ่านมาทั้ง 3 โครงการ คือ ฮาสุ เฮาส์ (ปิดการขาย) และ โมริ เฮาส์ (ปิดการขายและลูกค้าเข้าตรวจรับมอบยูนิตพักอาศัยอย่างรวดเร็ว)

ล่าสุดคือ ทากะ เฮาส์ ซึ่งเปิดการขายในเดือนกันยายนที่ผ่านมา และลูกค้าให้การตอบรับที่ดีมากทั้งจากลูกค้าคนไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะลูกค้าชาวญี่ปุ่น ฮ่องกงและสิงคโปร์จากการเป็นคอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยเป็นอย่างดี ส่งผลให้มียอดขายทะลุไปแล้วถึง 95% จ่อคิวใกล้ปิดการขาย บริษัทฯจึงได้เตรียมเปิดตัวคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ เฮาส์ อีก 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 8,600 ล้านบาทในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีเช่นกัน

นอกจากนี้ ล่าสุดบริษัทฯยังสามารถปิดการขายโครงการคอนโดมิเนียม เดอะ เดค ป่าตอง (THE DECK) มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท ที่สามารถตอบรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าในตลาดที่พักอาศัยในรูปแบบฮอลิเดย์โฮมในทำเลป่าตอง ภูเก็ต ได้เป็นอย่างดี ทั้งจากลูกค้าคนไทยที่ซื้อเพื่อตอบโจทย์ด้านการลงทุนจากการที่ตลาดปล่อยเช่า

“บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายในไตรมาสสุดท้ายไว้สูงถึง 16,000 ล้านบาทจากความสำเร็จในการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาซึ่งที่อยู่อาศัยโครงการต่างๆ ของบริษัทฯได้รับความสนใจและตอบรับจากลูกค้าทั้งคนไทยและต่างชาติเป็นอย่างดี ทำให้เล็งเห็นถึงแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจที่ชัดเจน ทั้งนี้จากแผนการพัฒนาโครงการที่มีความแข็งแกร่ง รวมถึงไฮไลท์ทางธุรกิจที่สำคัญที่เตรียมเปิดตัวในช่วงไตรมาส 4 ทำให้มั่นใจว่าบริษัทจะสามารถสร้างยอดขายได้ตามเป้าหมายที่มีการปรับเป็น 40,000 ล้านบาท” นายเศรษฐา กล่าว