อาลีบาบา สร้างอาณาจักรสังคมไร้เงินสด ส่งอาลีเพย์ ดัน ทรูมันนี่ จองพื้นที่ไทยถึงอาเซียน

2228

การขยับเข้ามาลงทุนในธุรกิจการเงินไทย ของอาลีบาบากรุ๊ป ยักษ์ใหญ่จากประเทศจีน โดยการให้บริษัทในเครืออย่าง แอนท์ ไฟแนนเชียล (Ant Financial) ผู้ให้บริการ อาลีเพย์ (Alipay) ระบบชำระเงินออนไลน์ยอดนิยมของคนจีน เข้ามาถือหุ้น  20% ในบริษัทแอสเซนด์ มันนี่  ผู้ให้บริการธุรกิจเทคโนโลยีทางการเงิน หรือฟินเทคในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใต้ชื่อ บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด เมื่อปลายปี 2559  แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของกลุ่มอาลีบาบาที่จะเข้ามาเป็นผู้เล่นในตลาด Fintech เมืองไทย และอาเซียน อย่างจริงจัง

เพราะลำพังตัวเลขผู้ใช้งานอาลีเพย์ ชาวจีนที่ใช้งานเป็นประจำ หรือ Active User มีมากถึงกว่า 450 ล้านคน และคนจีนเหล่านี้ก็เดินทางออกท่องเที่ยวนอกประเทศ ในอาเซียนอยู่เป็นประจำ เช่นในเมืองไทย ก็มีนักท่องเที่ยวจีนที่เป็นผู้ใช้อาลีเพย์มากถึง 10 ล้านคนต่อปี ก็ถือเป็นตัวเลขที่มากโข แต่วิชั่นของอาลีบาบากรุ๊ปในวันนี้ ที่ผู้ก่อตั้ง แจ๊ค หม่า ตระเวนออกไปพบปะกับผู้นำประเทศ ทั่วโลก  แสดงให้เห็นว่า เมืองจีนก็ยังไม่ใหญ่พอสำหรับอาลีบาบา

Fintech และ Cashless Society สังคมไร้เงินสด อาจเป็นสิ่งที่คนจีนอย่างน้อย 450 ล้านคนรู้จักและเข้าใจการใช้งานกันดี แต่สำหรับคน 60 กว่าล้านในประเทศไทย และอีกหลายสิบล้านของแต่ละประเทศในอาเซียน ถือเป็นเรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ ความพร้อมและประสบการณ์ในการให้บริการของอาลีเพย์ ทำให้ยักษ์ใหญ่จากจีนที่ใช้ชื่อเป็นตัวเอกของนิทานอาหรับ จึงเห็นโอกาส และเกิดการเข้ามาถือหุ้นในทรู มันนี่

ทรู มันนี่ แม้จะเป็นกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย แต่ปัจจุบันได้ขยายเข้าไปให้บริการด้านการเงินอิเล็กทรอนิกส์ในหลายๆ ประเทศของอาเซียน ทั้งอินโดนีเซีย เมียนมา กัมพูชา และฟิลิปปินส์  สำหรับในประเทศไทย มีผู้สมัครใช้งานราว 5 ล้านราย แต่เป็นผู้ใช้งานประจำอยู่ราว 2 ล้านราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการใช้งานในรูปแบบบัตรเครดิตเสมือน ชำระค่าสินค้าออนไลน์ หรือชำระค่าบริการออนไลน์ต่างๆ  การใช้เป็นเสมือนเงินสดชำระค่าสินค้าอย่าง อาลีเพย์ ยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก

ทำให้ล่าสุดทรูมันนี่ ได้ประกาศความร่วมมือกับอาลีเพย์ ในการผนึกกำลังสร้างสังคมไร้เงินสดให้เกิดขึ้นในประเทศไทย ตอบรับนโยบาย National e-Payment และแผนการพัฒนาประเทศ Thailand 4.0

สราญรัตน์ ศรีจิรารัตน์ กรรมการผู้จัดการ ประจำประเทศไทย บริษัท ทรู มันนี่ จำกัด กล่าวว่า ทรูมันนี่ ต้องการผลักดันให้เกิดสังคมไร้เงินสด (cashless lifestyle) อย่างครบวงจรและเป็นรูปธรรมในประเทศไทย ให้ตรงกับพันธกิจของ ทรูมันนี่ ที่ต้องการสร้างโอกาสให้ทุกคน ได้เข้าถึงนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตคนให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งความร่วมมือกับอาลีเพย์ จะทำให้ทรูมันนี่ได้ศึกษาระบบ และได้รับการถ่ายทอดความรู้ จากความสำเร็จในประเทศจีนของอาลีเพย์

โดยเป้าหมายของทรูมันนี่ หลังจากความร่วมมือนี้  จะเริ่มจากการขยายจุดรับชำระเงินผ่านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์หรืออีวอลเล็ท  จากที่มีอยู่ในปัจจุบัน 1.2 หมื่นจุด เพิ่มเป็น  100,000 จุดรับชำระทั่วประเทศ ภายในปีนี้ ซึ่งจะทำให้เกิดการกระตุ้นการใช้อีวอลเล็ทเพื่อใช้แทนเงินสดซื้อสินค้ามากขึ้น  โดยมีการแต่งตั้งตัวแทนจำนวน 6 ราย  เพื่อเป็นคนกลางในการประสาน สรรหาร้านค้า ธุรกิจบริการที่ได้คุณภาพและตรงกับชีวิตประจำวันของผู้ใช้ ทรูมันนี่ วอลเล็ท รวมถึงร้านค้าที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวชาวจีนเพื่อการชำระผ่าน อาลีเพย์ วอลเล็ท

ตัวแทนทั้ง 6 รายประกอบด้วย   บริษัท บัซซี่บีส์ จำกัด,   บริษัท ฮวนยูจิ จำกัด,  บริษัท จีมู่ อินเตอร์เน็ต เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด,  บริษัท เพย์วิง (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท ทรู อินเทอร์เน็ต คอร์ปอเรชั่น จำกัด และ บริษัท วงใน มีเดีย จำกัด

ตัวแทนทางการทั้ง 6 จะเป็นตัวแทนในการสรรหาธุรกิจร้านค้าต่างๆ ที่มีคุณภาพ ให้กับทรูมันนี่ และอาลีเพย์ วอลเล็ท รวมทั้งการสร้างความรู้ ความเข้าใจ รวมถึงผลประโยชน์ที่ร้านค้าจะได้รับจากการเข้ามาร่วมเป็นเครือข่าย การเพิ่มโอกาส ในการสร้างรายได้ให้ธุรกิจมากขึ้น และเป็นการช่วยผลักดันให้เกิดสังคมไร้เงินสดอย่างครบวงจรและเป็นรูปธรรมในประเทศไทย ที่เห็นได้ชัดมากยิ่งขึ้น” สราญรัตน์

โดยผู้บริหารทรูมันนี่เชื่อว่า หากตัวแทนทั้ง 6 รายสามารถขยายจุดรับบริการได้ถึง 1 แสนรายตามเป้า ก็เชื่อว่า จะสามารถเพิ่มจำนวนผู้ใช้ทรูมันนี่เป็นประจำเพิ่มจาก 2 ล้านคน ก้าวกระโดดอีกเท่าตัว เป็น 4  ล้านคน ด้วยความสะดวกสบายที่ไม่มีขั้นต่ำในการชำระเงิน และร้านค้าที่ไม่รับบัตรเครดิตก็สามารถให้บริการทรูมันนี่ได้

ด้านผู้บริหารอาลีเพย์  พิภาวิน สดประเสริฐ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทย – ANT Financial Services Group  กล่าวว่า อาลีเพย์เป็นแอปพลิเคชันที่ใช้ในการตอบสนองไลฟ์สไตล์ดิจิทัลสำหรับผู้ใช้ชาวจีนทุกรูปแบบ ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้อาลีเพย์เป็นประจำ (active users) มากกว่า 450 ล้านคน และในจำนวนนี้ มีผู้ใช้อาลีเพย์ซึ่งเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยปีละเกือบ 10 ล้านคน และยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี การขยายเครือข่ายร้านค้าและบริการที่รับชำระเงินด้วยระบบอาลีเพย์ที่ชาวจีนมีความคุ้นชินและชื่นชอบอยู่แล้ว จึงเท่ากับเพิ่มโอกาสทางการตลาดให้กับร้านค้า ไปสู่ฐานลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง เช่น นักท่องเที่ยวชาวจีน

Ant Financial Services Group ให้ความสำคัญกับการเจริญเติบโตของร้านค้า และหวังว่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้ SME ไทยมีโอกาสได้ทดลอง เรียนรู้ และพัฒนาไปสู่โลกดิจิทัล ตามหลักการ Thailand 4.0 ของรัฐบาลไทย การจับมือเป็นพันธมิตรกับ ทรูมันนี่ ก็เพราะเชื่อมั่นในศักยภาพและมาตรฐานทางด้านการให้บริการทางการเงินของ ทรูมันนี่ ซึ่งดำเนินการอย่างถูกต้องตามหลักเกณฑ์การให้บริการอีเพย์เมนต์ของธนาคารแห่งประเทศไทย  และเชื่อมั่นว่านอกจาก ทรูมันนี่ จะช่วยร้านค้าให้เติบโตจากรายได้จากนักท่องเที่ยวจีนผ่านอาลีเพย์ วอลเล็ทแล้ว  ทรูมันนี่ ยังสามารถสร้างโอกาสให้ร้านค้าเพิ่มช่องทางการตลาดสู่ผู้บริโภคชาวไทย ผ่านทาง ทรูมันนี่ วอลเล็ท อีกด้วย

ปัจจุบัน อาลีเพย์มีจุดรับบริการในประเทศไทยราว 1.5 หมื่นจุด โดยเฉพาะในร้านสะดวกซื้อ 7-11 หลายสาขา พิภาวิน เชื่อว่า จุดให้บริการอาลีเพย์จะเพิ่มมากขึ้น ควบคู่ไปกับผู้ใช้บริการที่จะเพิ่มมากขึ้น

แต่เป้าหมายสำคัญคือ การสนับสนุนทรูมันนี่ ในการสร้างสังคมไร้เงินสดให้เกิดขึ้นในเมืองไทย และอาเซียน ขยายอาณาจักรอาลีเพย์ให้กว้างไกลออกไปไม่มีสิ้นสุด