นักลงทุนรุ่นใหม่ชี้ นโยบายดอกเบี้ยเฟดกดดันการลงทุนปีหน้า

105
ณพวีร์ พุกกะมาน

นักลงทุนรุ่นใหม่ มองภาพการลงทุนปีหน้า หลังประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ล่าสุด มีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยในอัตรา0.5% แต่ยังทิ้งประเด็นเรื่องนโยบายการเงินที่ต้องเคร่งครัดต่อไปเพื่อเอาชนะเงินเฟ้อ คาดกดดันตลาดทุนอย่างน้อยหนึ่งไตรมาส แนะนักลงทุนระมัดระวัง เน้นคัดเลือกสินทรัพย์ที่สามารถเอาชนะภาพรวมตลาดได้ ชูตลาดหุ้นจีน-ฮ่องกง-เวียดนาม มีโอกาสสร้างพอร์ตโตในครึ่งปีแรก ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐฯ-ทองคำ-บิทคอยน์ แนวโน้มขาขึ้นในครึ่งปีหลัง

ณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า ผลประชุมของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือ FED ครั้งสุดท้ายของปีนี้ มีมติขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.5% น้อยกว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยใน 4 ครั้งที่ผ่านมา ซึ่ง FED ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอัตรา 0.75% ติดต่อกัน มาโดยตลอด คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ มีโอกาสที่จะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และทิศทางเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลง

อย่างไรก็ตาม ประธาน FED ได้ออกมาแถลงในภายหลังว่าขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจาก FED ต้องการใช้นโยบายการเงินเข้มงวดจนกว่าจะเห็นเงินเฟ้อลงมาเหลือ 2% แม้ว่าเงินเฟ้อจะชะลอตัว แต่เฟดต้องการจะเห็นหลักฐานให้ชัดเจนว่าเงินเฟ้อลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 0.75% ภายในสิ้นปี 2566 และจะไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยไปจนถึงปี 2567

“ข้อมูล Dot Plot ครั้งล่าสุด ระบุว่า FED จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงสุดสู่ระดับ 5.1% ภายในปี 2566 ซึ่งตัวเลขดังกล่าวสูงกว่ารายงาน Dot Plot ในการประชุมเดือนกันยายน ที่ระบุว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยสูงสุดสู่ระดับ 4.6% ภายในปี 2566 จึงทำให้ตลาดยังคงอยู่ในสภาวะคลุมเครือเรื่องนโยบายดอกเบี้ยต่อไป ส่งผลทำให้ทิศทางตลาดมีความผันผวนและเคลื่อนไหวไซด์เวย์ต่อไป”

สำหรับทิศทางการคัดเลือกสินทรัพย์การลงทุนในปีหน้า ภายใต้นโยบายการเงินของ FED ที่ยังไม่เอื้อต่อการปรับตัวเป็นขาขึ้นของตลาด ในภาพรวมการลงทุนจะต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะตลาดยังมีความเสี่ยงเรื่องของเศรษฐกิจถดถอย หรือ Recession รออยู่ข้างหน้า โดยมุมมองการลงทุนในปี 2566 สินทรัพย์ที่มีโอกาสเติบโตได้ดีและน่าสนใจในแง่ของแวลูเอชั่น คือ ตลาดหุ้นจีน-ฮ่องกง และเวียดนาม เพราะตลาดหุ้นจีน-ฮ่องกง ปรับตัวลงค่อนข้างมากตั้งแต่ต้นปีนี้จากปัจจัยหลักที่สถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิดยังคงน่ากังวลจนรัฐบาลต้องสั่งปิดเมืองหลายรอบ แต่เริ่มเห็นสัญญาณตั้งแต่ช่วงปลายปีที่รัฐบาลจีนเริ่มผ่อนคลายมาตราการมากขึ้น ทำให้ตลาดหุ้นจีนทุกดัชนีปรับตัวขึ้นมาได้แล้วกว่า 10% และหากมองแวลูเอชั่นของตลาดหุ้นจีน-ฮ่องกง ถือว่าน่าสนใจ เพราะค่าพีอีต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตค่อนข้างมาก 

อีกทั้งมีโอกาสสูงที่เศรษฐกิจจีนปีหน้าจะกลับมาฟื้นตัวได้ดี และโดดเด่นกว่าประเทศอื่นที่อาจเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย นอกจากนั้น จีนยังมีเงินเฟ้อที่ต่ำมาก หากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิดผ่อนคลายลงจะทำให้ตลาดหุ้นกลับมาคึกคักได้อีกครั้ง

ขณะที่ตลาดหุ้นเวียดนามเป็นอีกตลาดที่ราคาปรับตัวลงแรงตั้งแต่ต้นปี โดยลดลงมาแล้วกว่า 30% กลายเป็นตลาดหุ้นที่สร้างผลตอบแทนแย่ที่สุดของปีนี้ อย่างไรก็ตามในแง่ของแวลูเอชั่นถือว่าน่าสนใจเพราะซื้อขายที่ค่าพีอีต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ประกอบกับปัจจัยที่ทำให้ตลาดลงแรงมาจากข่าวเชิงลบในตลาดการเงิน ไม่ว่าจะเป็นกระแสที่มีสถาบันการเงินล้ม หรือ การเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์อย่างไม่ถูกต้อง แต่ในเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจยังเติบโตได้อย่างดี การเข้าลงทุนในช่วงเวลานี้จึงมีโอกาสเข้าซื้อด้วยราคาหุ้นที่ถูกกว่าปกติ ซึ่งไม่ค่อยจะได้เห็นปรากฎการณ์นี้บ่อยนัก

“ในเชิงกราฟเทคนิคทั้งสองตลาดถือว่ามีการกลับตัวจากแนวโน้มขาลงแล้ว จึงเหมาะสมที่จะถือลงทุนในระยะกลางถึงยาวตลอดทั้งปี 2566 หรือ นานกว่านั้นได้ เพราะต่างมีศักยภาพเชิงพื้นฐานที่แข็งแกร่งทั้งคู่ ที่สำคัญคือมีค่าความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นอื่นทั่วโลกในระดับต่ำ จึงถือเป็นสินทรัพย์ที่สามารถเอาชนะภาพรวมตลาดหุ้นโลกได้ในปีหน้า”

สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งปีแรกอาจจะยังมีความเสี่ยงเรื่องของเศรษฐกิจถดถอยมากดดัน เช่นเดียวกับประเทศกลุ่มตลาดเกิดใหม่ Emerging Market ในช่วงครึ่งปีแรก จึงยังมีความเสี่ยงในการลงทุน แต่ถ้าสถานการณ์มีความชัดเจนขึ้นในครึ่งปีหลัง มองว่าเป็นโอกาสเข้าลงทุนได้ต่อจากหุ้นจีนและเวียดนาม

ณพวีร์ กล่าวว่า อีกหนึ่งสินทรัพย์ที่น่าสนใจในปีหน้า คือ “ทองคำ” จากการที่ค่าเงินดอลลาร์มีทิศทางที่อ่อนค่าชัดเจนแล้ว ซึ่งจะส่งผลดีต่อทองคำ นอกจากนี้ทองคำยังไม่มีความเสี่ยงเรื่องของเศรษฐกิจถดถอยและถ้าเงินเฟ้อยังคงตัวในระดับ 5% ขึ้นไป เชื่อว่าจะมีความต้องการในทองคำเข้ามาเพื่อที่จะเอาชนะเงินเฟ้อระดับปานกลาง โดยคาดว่าเมื่อทิศทางดอกเบี้ยของ FED ชัดเจนมากขึ้นในไตรมาสแรกปีหน้า ทองคำจะเริ่มให้ผลตอบแทนที่ดีตั้งแต่ไตรมาสสองเป็นต้นไป

ขณะที่ บิทคอยน์ เป็นอีกสินทรัพย์ที่น่าสนใจในปีหน้า เนื่องจากปี 2567 จะเกิดเหตุการณ์ Bitcoin Halving ซึ่งเกิดขึ้นทุกสี่ปีและราคาบิทคอยน์จะเป็นขาขึ้นทุกครั้ง ซึ่งน่าจะเกิดในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 จึงเป็นไปได้ว่าราคาน่าจะตอบสนองเชิงบวกล่วงหน้าตั้งแต่ครึ่งปีหลังของปี 2566 เป็นต้นไป แต่ต้องจับตาด้วยว่าจะมี Use Case ของการนำบิทคอยน์ไปใช้งานจริงที่จะเป็นแรงผลักดันในฝั่งดีมานด์หรือไม่

“บทสรุปภาพรวมการลงทุนในปีหน้า ช่วงครึ่งปีแรกตลาดหุ้นจีนและเวียดนามน่าสนใจ และครึ่งปีหลังจะเป็นตลาดหุ้นสหรัฐฯ และเอเชียอื่น ๆ ส่วน ทองคำ น่าจะเริ่มปรับตัวเป็นขาขึ้นในไตรมาสสองและบิทคอยน์น่าจะเริ่มเป็นขาขึ้นในครึ่งปีหลัง ถ้าเราสามารถจัดพอร์ตลงทุนให้สับเปลี่ยนหมุนเวียนสินทรัพย์ได้ก็น่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ตลอดทั้งปี”