PRM เปิดแผนสร้างการเติบโตครั้งใหม่เข้าสู่ Growth Mode

136

‘บมจ.พริมา มารีน’ หรือ PRM เปิดกลยุทธ์บริหารจัดการพอร์ตกองเรือ ขับเคลื่อนการเติบโตทุกสภาวะของตลาด ตอกย้ำความเป็นผู้นำอุตสาหกรรม พร้อมประกาศสร้างการเติบโตครั้งใหม่ต่อเนื่องจากความสำเร็จในการเข้าลงทุนเชิงกลยุทธ์ซื้อกิจการของ TM โดยล่าสุดเตรียมลงทุนขยายกองเรือเพิ่มเติมอีก 3 ลำ รวมเงินลงทุน 1,896 ล้านบาท รับเศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัวหลังผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 ย้ำชัด PRM เข้าสู่ Growth Mode ที่พร้อมเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน 

บวร วงศ์สินอุดม

            บวร วงศ์สินอุดม ประธานกรรมการ บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM ผู้ให้บริการขนส่งและจัดเก็บผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และปิโตรเคมีเหลวทางเรือรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย เปิดเผยว่า การดำเนินธุรกิจช่วง 2 ปีที่ผ่านมา นับเป็นความท้าทายเชิงบริหารจัดการพอร์ตกองเรือเพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดท่ามกลางวิกฤต Covid-19 และความเสี่ยงจากราคาน้ำมันที่มีความผันผวนเป็นอย่างมาก โดยบริษัทฯ ได้นำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในฐานะที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรม พร้อมหลักการบริหารจัดการที่มีความยืดหยุ่นเพื่อบริหารพอร์ตกองเรือที่มีความหลากหลาย ให้สอดคล้องความต้องการของตลาด สร้างการเติบโตอย่างมั่นคง และมีเสถียรภาพพร้อมแสวงหาโอกาสการลงทุนเพื่อเสริมขีดความสามารถในการให้บริการและผลักดันผลการดำเนินงานให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง 

                ทั้งนี้ จากการเข้าลงทุนซื้อกิจการ บริษัท ทรูธ มาริไทม์ (จำกัด) หรือ TM (เดิมคือ บริษัทไทยออยล์มารีน จำกัด) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มไทยออยล์ เป็นการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญของ PRM ซึ่งจะขับเคลื่อนการเติบโตในระยะยาว จากการเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับกลุ่มไทยออยล์ ที่ให้บริการเรือขนส่งปิโตรเลียมระหว่างประเทศ ด้วยเรือ VLCC ขนาดบรรทุก 300,000 DWT จำนวน 3 ลำ ภายใต้สัญญาระยะยาว 10 ปี อันจะช่วยสร้างความมั่นคงของรายได้ให้แก่บริษัทฯ 

ขณะเดียวกัน การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถการให้บริการเพื่อรองรับโอกาสทางธุรกิจ จากการรับเรือขนส่งปิโตรเคมีจำนวน 5 ลำ ที่มีความต้องการใช้บริการเพิ่มขึ้นและเรือขนส่งเพื่อการสำรวจและการผลิตน้ำมันกลางทะเล (เรือ Crew Boat) อีก 13 ลำ เพื่อรองรับกิจกรรมทางทะเลที่เพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นการปรับพอร์ตกองเรือที่ทำให้บริษัทฯ สามารถเอาชนะความท้าทายและมีความแข็งแกร่งในการบริหารความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ทั้งจากปัจจัยภายในประเทศและภายนอกประเทศได้ดียิ่งขึ้น 

               ทั้งนี้ บริษัทฯ สามารถขยายฐานลูกค้าจากการให้บริการเรือ Crew Boat ที่ปัจจุบันมีอัตราการใช้บริการเต็ม 100% ด้วยสัญญาระยะยาวตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา ส่งผลให้กลุ่มธุรกิจ OffshoreSupport เติบโตได้ดี และเป็นอีกหนึ่งกลุ่มธุรกิจที่เข้ามาช่วยสร้างการเติบโตที่ดีต่อจากนี้เป็นต้นไป เช่นเดียวกับกลุ่มธุรกิจเรือขนส่งระหว่างประเทศ ที่บริษัทฯ ได้ให้บริการเรือ VLCC แก่กลุ่มไทยออยล์จำนวน 3 ลำ เป็นระยะเวลา 10 ปี ซึ่งจะเข้ามาสนับสนุนความมั่นคงของรายได้ในระยะยาวด้วยเช่นกัน 

               “การเข้าซื้อ TM ถือเป็นการลงทุนครั้งสำคัญที่จะสร้างประโยชน์แก่การดำเนินธุรกิจของเราให้ดียิ่งขึ้น ทำให้เราสามารถรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วง Post-Covid และผลักดันบริษัทฯ ให้เข้าสู่Growth Mode รอบใหม่ ด้วยผลการดำเนินที่เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน” บวร กล่าว

  

ชายน้อย เผื่อนโกสุม

               ชายน้อย เผื่อนโกสุม ประธานคณะกรรมการตรวจสอบ บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ จะมุ่งรักษาความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม ด้วยจุดแข็งด้านพอร์ตกองเรือที่มีความหลากหลาย พร้อมขยายการลงทุนที่จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโต โดยการลงทุนเข้าซื้อTM ที่ผ่านมา ทำให้บริษัทฯ สามารถผลักดันกลุ่มธุรกิจเรือขนส่งระหว่างประเทศและกลุ่มธุรกิจเรือ OffshoreSupport ให้สร้างรายได้เพิ่มขึ้น และสนับสนุนภาพรวมการดำเนินงานของบริษัทฯ ได้เป็นอย่างแข็งแกร่ง ขณะเดียวกัน การบริหารพอร์ตกองเรือถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างการเติบโตให้กับบริษัทฯ ในทุกสภาวะตลาด เพื่อมุ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ดีที่สุด ควบคู่กับการบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ  

               โดยบริษัทฯ วางแผนการลงทุนครั้งใหม่โดยขยายพอร์ตกองเรือจำนวน 3 ลำ ภายใต้งบลงทุน 1,896 ล้านบาท ประกอบด้วย เรือขนส่งปิโตรเลียมภายในประเทศจำนวน 1 ลำ เรือขนส่งปิโตรเคมี จำนวน 1 ลำ และเรือขนส่งและจัดเก็บปิโตรเลียมลอยน้ำ (FSU) เพิ่มอีก 1 ลำ เนื่องจากบริษัทฯ ยังเล็งเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจในกลุ่มธุรกิจเรือขนส่งในประเทศเพื่อรองรับปริมาณการใช้น้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นภายหลังจากที่สถานการณ์ Covid-19 คลี่คลายลง ในขณะที่การลงทุนเพิ่มเติมในเรือขนส่งปิโตรเคมีมีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับการขยายกำลังการผลิตของโรงกลั่นทั้งในและต่างประเทศที่มุ่งเน้นไปยังการผลิตปิโตรเคมีมากขึ้น และการขยายกองเรือ FSU เพื่อรองรับอุปสงค์ในการกักเก็บและผสมน้ำมันที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น จากสภาวะเศรษฐกิจที่มีกิจกรรมมากขึ้นภายหลังการคลี่คลายของสถานการณ์ Covid-19 โดยการลงทุนดังกล่าวจะช่วยให้บริษัทฯ สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจะเริ่มรับรู้รายได้ทันทีหลังจากที่สามารถจัดหาเรือแล้วเสร็จ เนื่องจากเรือทั้ง 3 ลำมีลูกค้าที่รอใช้บริการอยู่แล้ว ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมการดำเนินงานของบริษัทฯ ให้เติบโตได้ตามเป้าหมาย  

               “PRM ได้เข้าสู่ Growth Mode ตั้งแต่ครึ่งปีหลังของปีนี้เป็นต้นไป เป็นผลจากการเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจที่มีอัตราการใช้เรือที่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งการเตรียมส่งมอบเรือ VLCC ลำที่ 3 เพื่อให้บริการแก่ไทยออยล์ในช่วงไตรมาส 3 นี้ และเรือที่ลงทุนเพิ่มเติมอีก 3 ลำที่เตรียมจะเข้ามาให้บริการเพิ่มเติมอีกด้วย” ชายน้อย กล่าว