เอกชนวอนรัฐ ขยาย “เราเที่ยวด้วยกัน” เติมอ็อกซิเจนธุรกิจท่องเที่ยว-ธุรกิจบริการเกี่ยวเนื่อง ฟื้นตัวจากโควิด

229
นายวิทนาถ วรรธนะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร รอยัล คลิฟ โฮเต็ล กรุ๊ป

เอกชนวอนรัฐขยายเราเที่ยวด้วยกัน เติมอ็อกซิเจนธุรกิจท่องเที่ยว-ธุรกิจบริการเกี่ยวเนื่อง ฟื้นตัวจากโควิด หนุนคนไทยเที่ยวในประเทศ กระจายรายได้ – ประคองจ้างงาน พร้อมเสนออัดแคมเปญจัดประชุมสัมนา หวังอัตราเข้าพักโรงแรมฟื้นระดับใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด-19

นายวิทนาถ วรรธนะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร รอยัล คลิฟ โฮเต็ล กรุ๊ป เปิดเผยว่า ภาคเอกชนอยากให้ภาครัฐต่ออายุมาตรการ เราเที่ยวด้วยกัน ออกไปอีกระยะ หลังจากเฟส 4 มีผู้ใช้สิทธิเต็มจำนวน และจะสิ้นสุดวันที่ 31 ต.ค.นี้แล้ว เนื่องจาก เป็นมาตรการที่ผลดีต่อธุรกิจโรงแรม และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอีกหลายธุรกิจ หลายอุตสาหกรรมอย่างมาก ทำให้ภาพรวมการท่องเที่ยวมีความคึกคักและจำนวนผู้เข้าพักในโรงแรมเพิ่มขึ้นไปใกล้เคียงกับระดับก่อนที่จะเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ รวมทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้คนไทยเที่ยวในประเทศ และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้คนไทยที่ยังได้รับผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น

“ที่ผ่านมาตอนที่เกิดโควิด-19 รัฐมีการออกมาตรการเราเที่ยวด้วยกันมา ตรงนี้ถือเป็นออกซิเจนที่ช่วยภาคท่องเที่ยวให้มีลมหายใจ แต่ในขณะนี้การท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ จากสถานการณ์การเงินเฟ้อ ค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น ปัญหาในจีน และความขัดแย้งรัสเซียและยูเครน ซึ่งเป็นความไม่แน่นอน หากมีการต่ออายุมาตรการเราเที่ยวด้วยกันออกไปก็จะช่วยให้การท่องเที่ยวฟื้นตัวได้มากขึ้น”

ส่วนภาพรวมการท่องเที่ยว ฟื้นตัวขึ้นเมื่อเทียบกับในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบันโรงแรมอัตราการเข้าพักในโรงแรมอยู่ที่ประมาณ 40 – 50% ยังน้อยกว่าในช่วงที่จะเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งเคยมีอัตราการเข้าพักอยู่ที่ 60-70% หากภาครัฐ ขยายมาตรการเราเที่ยวด้วยกันไปอีก เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับธุรกิจโรงแรม และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอยากมาก

นอกจากนี้ภาครัฐอาจจะเพิ่มมาตรการส่งเสริมเรื่องการจัดประชุมสัมมนา เช่น อาจมีโปรแกรมสนับสนุน ส่งเสริมเรื่องอุตสาหกรรมการจัดประชุม การท่องเที่ยว งานแสดงสินค้าและนิทรรศการ หรืออุตสาหกรรมไมซ์ ทั้งองค์กรไทยและต่างชาติ อาจเป็นทางเงินสนับสนุนเพื่อมาช่วยให้งานจัดขึ้นได้ช่วยเรื่องค่าใช้จ่าย สนับสนุนต่างชาติที่มาจัดงานไมซ์ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อเนื่องไปยังคนจำนวนมาก และหลายธุรกิจที่จะได้ประโยชน์จากส่วนนี้

“ถ้าต่างชาติเข้ามาเยอะขึ้น จะส่งผลให้ธุรกิจอื่นได้ผลประโยชน์ไปด้วย สุดท้าย คือ จัดทำโปรแกรมการตลาดเพื่อโปรโมทเมืองพัทยา ในรูปแบบวีดีโอ เพื่อเชิญชวนต่างชาติให้มาพัทยา เพราะตอนนี้ภาพลักษณ์พัทยาเปลี่ยนไป แต่ต่างชาติส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่าตอนนี้ พัทยาเป็นเมืองสำหรับครอบครัว กีฬา และ การประชุมไมซ์ มีกิจกรรมดีๆ ที่ให้ทำมากมาย”

ทั้งนี้ในส่วน รอยัล คลิฟ โฮเต็ล กรุ๊ป ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวต่างชาติทยอย กลุ่มผู้เข้าพักของโรงแรมประมาณ 75% เป็นคนไทย และ จากทางยุโรป และ อินเดีย รวมกันอีกประมาณ 15% และ ทางโซนอาเซียน ประกอบด้วย สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม อีกประมาณ 10% ซึ่งถือได้ว่าตอนนี้เริ่มมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้นจาก 2 ปีที่ผ่านอย่างมา

อย่างไรก็ตามในระยะต่อไปยังต้องติดตามผลกระทบจากมาตรการล็อกดาว์ของจีน และ ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจของประเทศในยุโรป และสหรัฐฯ ที่จะกระทบกับภาคท่องเที่ยวได้ โดยปัจจัยที่จะกระทบกับธุรกิจท่องเที่ยวของไทยในช่วงปีนี้ถึงปีหน้า โดยปัจจัยบวก เช่น ภาครัฐมีการคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวจะทะลุ 10 ล้านคน สร้างรายได้มากกว่า 2 แสนล้านบาท,ข้อมูลจากบุ๊คกิ๊งดอทคอม ระบุว่า ไทยเป็นเป้าหมายที่นักท่องเที่ยวต่างชาติจะเดินทางมาไทย, การเดินทางมาไทยสะดวกมากกว่าหลายๆ ประเทศ,ไทยมีนโยบายเรื่องการให้ต่างชาติที่มีรายได้สูง มีทรัพย์สินมาก เข้ามาอาศัยในไทยได้ และเงินบาทที่อ่อนค่าก็หนุนให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น

ส่วนปัจจัยลบที่อาจกระทบกับการท่องเที่ยวในช่วงที่เหลือของปีจนถึงปีหน้า เช่น การที่จีนยังไม่เปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวออกมาท่องเที่ยวได้,โรคระบาด ซึ่งโควิดจะกลายพันธุ์อีกหรือไม่ และ โรคระบาดอื่นๆ,ค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวที่อาจเก็บสูงมากจนเกินไป และเงินเฟ้อ ค่าครองชีพ ที่สูงกระทบกับการท่องเที่ยวของชาวต่างชาติ และคู่แข่งจากต่างประเทศ ทั้งฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ ต่างดึงดูดการท่องเที่ยว