“อีฟ โรเช่ (ประเทศไทย)” เดินเกมรุกตลาดปี 65 ชูจุดแข็งความยั่งยืน ส่งแคมเปญ ‘สวยโลกไม่เสีย ซีซั่น 3’ เจาะกลุ่มบิวตี้รักษ์โลก

378

Yves Rocher (อีฟ โรเช่) แบรนด์ความงานอันดับ 1 จากประเทศฝรั่งเศส เปิดกลยุทธ์แผนธุรกิจปี 65 ตอบรับเทรนด์ตลาด Sustainable Brand ส่งผลิตภัณฑ์ความงามเพื่อคนใส่ใจสิ่งแวดล้อม และสานต่อโครงการ “สวยโลกไม่เสีย ซีซั่น 3” ตอกย้ำจุดยืนด้านความยั่งยืน พร้อมดึง ใหม่-ดาวิกา โฮร์เน่ และ กลัฟ-คณาวุฒิ ไตรพิพัฒนพงษ์ เป็นพรีเซ็นเตอร์ร่วมกันครั้งแรก มุ่งเจาะกลุ่ม Green Generation Millennials สร้างกระแสรักษ์โลก ผ่านแคมเปญ ACTs OF LOVE

คุณวิลาสินี ภาณุรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท อีฟ โรเช่ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากประเทศฝรั่งเศส ภายใต้แบรนด์ “Yves Rocher (อีฟ โรเช่)” กล่าวถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2565 ว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัทฯ มุ่งดำเนินธุรกิจภายใต้โจทย์หลักคือการพัฒนาองค์กรและสิ่งแวดล้อมให้เติบโตไปด้วยกัน ซึ่งบริษัทยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติมายาวนานกว่า 60 ปี นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งแบรนด์ Yves Rocher ที่ประเทศฝรั่งเศส เราจึงพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อนำเสนอทางเลือกใหม่ที่ใส่ใจทั้งสุขภาพความงามและสิ่งแวดล้อมให้แก่ผู้บริโภค ซึ่งสอดคล้องกับเทรนด์ที่กำลังมาแรงในกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ที่หันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น กลายเป็นทางเลือกใหม่ ในใจผู้บริโภค จึงได้สานต่อโครงการ “สวยโลกไม่เสีย ซีซั่น 3” เพื่อแสดงออกและตอกย้ำจุดยืนของบริษัทฯ ในการใส่ใจสิ่งแวดล้อม ซึ่ง อีฟ โรเช่ เป็นแบรนด์แรกในตลาดที่ผลิตภัณฑ์ทำมาจากพลาสติกรีไซเคิลและสามารถนำไปรีไซเคิลต่อได้ 100% นอกจากเป็นการลดใช้พลาสติกแล้ว ยังมีการลดใช้สารเคมีต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

โดยระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลต่อภาพรวมของตลาดธุรกิจความงาม ในปี 2563 มีมูลค่าตลาดลดลง 11% แต่บริษัทสามารถสร้างการเติบโตที่สวนกระแสได้ถึง 6% และในปี 2564 มูลค่าตลาดความงามโดยรวมลดลง 12% แต่บริษัทสามารถเติบโตได้ราว 7% จากการปรับตัวและสร้างภาพลักษณ์ให้ดึงดูดและเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ยุคดิจิทัลเอจ เพื่อเข้าสู่ Digital Transformation ทั้งการปรับรูปแบบการสื่อสารและเข้าสู่ช่องทางออนไลน์ จนสามารถขึ้นมาเป็นอันดับ 1 บน Social Listening ในกลุ่มสินค้าความงาม และด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมซึ่งซื้อสินค้าออนไลน์กันมากขึ้น ทางบริษัทจึงได้เพิ่มและปรับกลยุทธ์ในการทำการตลาด รวมทั้งช่องทางการจำหน่าย ผนวกกับการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าในโมเดลใหม่ โดยเน้นการใช้กลยุทธ์ Omni-Channel อย่างเต็มที่ เพื่อเชื่อมโยงทุกช่องทางทั้งออนไลน์และออฟไลน์ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและสำหรับแผนการดำเนินงานในปีนี้ อีฟ โรเช่ ได้ตัวแทนคนรุ่นใหม่อย่าง ใหม่-ดาวิกา โฮร์เน่ และ กลัฟ-   คณาวุฒิ ไตรพิพัฒนพงษ์ มานั่งแท่นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อเจาะกลุ่ม Green Generation Millennials (คนรุ่นใหม่ที่รักสินค้าธรรมชาติและเริ่มสนใจเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม) ตอกย้ำ Brand ID ผ่านแคมเปญ “ACTS OF LOVE” มุ่งสื่อสารถึงจุดยืนของอีฟ โรเช่ ที่มีต่อโลกใบนี้ พร้อมจับมือพันธมิตรที่มีจุดยืนเดียวกัน อาทิ HEARTIST, Wisdomative, Loopers, SOA, Fisher.folk, เพียรหยดตาล, สวนศิลป์หนองมน, Kokomary, 1001 Oven Club, Ira, Chewitjitjai, Very Whale.eco, iLeafGreen, Qualy, Sassion.Studios, ชมรมสิ่งแวดล้อม, KOEN, Environman, ลุงซาเล้งกับขยะที่หายไป, T.Zero, Tase Bud Lab  และ Standard Archieve โดยเตรียมจัดกิจกรรมสร้างการรับรู้และกระตุ้นจิตสำนึกให้ผู้บริโภคทุกคนได้เข้าถึงและให้ความสำคัญในการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างยั่งยืน รวมทั้งสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด ครอบคลุมทุกช่องทาง ทั้ง Below the Line และ Above the Lineผลจากความมุ่งมั่นในการเป็นองค์กรที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ทำให้ปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้รับรางวัลองค์กรดีเด่นแห่งปีสาขาบริหารและพัฒนาธุรกิจ จากโครงการหนึ่งล้านกล้าความดีตอบแทนคุณแผ่นดิน และรางวัลนักบริหารดีเด่นแห่งปี ประจำปี 2564 สาขาบริหารและพัฒนาธุรกิจ จากมูลนิธิเพื่อสังคมไทย โดยได้รับเกียรติจากพลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุข องคมนตรีและเลขาธิการมูลนิธิพระดาบส เป็นประธานและผู้มอบรางวัล

ผลงานความสำเร็จที่ทำให้บริษัทฯ ได้รับ 2 รางวัลดังกล่าว มาจากความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืน “การได้รับรางวัลดังกล่าวเป็นสิ่งที่การันตีในความสำเร็จจากการดำเนินงานต่าง ๆ และยิ่งตอกย้ำถึงความภาคภูมิใจในการทำงานร่วมกันที่มีเป้าหมายชัดเจน บนพื้นฐานและจุดยืนของแบรนด์เรื่อง ACTs OF LOVE ตลอดจนการแสดงออกถึงศักยภาพของทีมงานที่ร่วมกันฟันฝ่าวิกฤตที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ” คุณวิลาสินี กล่าว

ส่วนเป้าหมายการดำเนินธุรกิจในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าการเติบโตที่ 19% จากปีก่อน โดยจะมาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเส้นผม ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนในการสร้างรายได้กว่า 75% และอีก 25% ของรายได้จะมาผลิตภัณฑ์อื่น ๆ รวมทั้งบริษัทฯ ยังเตรียมที่จะผลักดันธุรกิจที่เป็นบริการนวด โดยจะมีการเปิดตัวใหม่อีกครั้ง และคาดว่าจะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับรายได้ในปีนี้

นอกจากนี้ Yves Rocher ยังกำหนดจัดงาน ACTs OF LOVE TOGETHER FAIR รวบรวมคนหัวใจกรีนที่มีจุดมุ่งหมายและพันธกิจเพื่อโลกใบนี้ มาสร้างสรรค์กิจกรรมต่างๆ ที่มีความหลากหลายในการสร้างการรับรู้และกระตุ้นจิตสำนึกให้ผู้บริโภคได้เข้าถึงและให้ความสำคัญในการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างยั่งยืน โดยผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม และอัพเดทความรู้ใหม่ๆ ได้ระหว่างวันที่ 5-7 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 11.00 น. ณ Warehouse 30