แอสตร้าเซนเนก้า เผยผลทดลองล่าสุด กระตุ้นด้วยวัคซีน AZ เข็ม 3 เพิ่มภูมิคุ้มกันโอไมครอนได้ดี

413

ผลลัพธ์เชิงบวกจากการวิเคราะห์เบื้องต้นของการทดลองเรื่องความปลอดภัยและการสร้างภูมิคุ้มกัน (D7220C00001) แสดงให้เห็นว่าเมื่อได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า (ChAdOx1- S [Recombinant]) เป็นวัคซีนกระตุ้นเข็มที่สาม สามารถเพิ่มการตอบสนองของภูมิคุ้มกันต่อไวรัส SARS-CoV-2 สายพันธุ์เบตา เดลตา อัลฟา และแกมมา ในขณะเดียวกันอีกการวิเคราะห์หนึ่งที่ใช้ตัวอย่างการทดลองเดียวกันนี้ แสดงถึงการตอบสนองของแอนติบอดีที่เพิ่มขึ้นต่อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน

การทดลองนี้สังเกตผลลัพธ์ในผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า หรือวัคซีนmRNA มาก่อน

ข้อมูลจากอีกการทดลองหนึ่งซึ่งเป็นการทดลองในระยะที่ 4 รายงานใน ระบบจัดเก็บเอกสารวิชาการก่อนการตีพิมพ์ออนไลน์ The Lancet,  ชี้ให้เห็นว่า การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า เป็นวัคซีนกระตุ้นเข็มที่สามนั้น สามารถเพิ่มระดับแอนติบอดีได้เป็นอย่างมากหลังจากที่ได้รับวัคซีน CoronaVac (Sinovac Biotech)1 มาก่อน

ข้อมูลเหล่านี้เพิ่มหลักฐานในการสนับสนุนว่าสามารถใช้วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าเป็นวัคซีนกระตุ้นเข็มที่สามได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงการได้รับวัคซีนก่อนหน้า 2,3 แอสตร้าเซนเนก้ากำลังส่งข้อมูลเพิ่มเติมเหล่านี้ไปยังหน่วยงานด้านสาธารณสุขทั่วโลกในสถานการณ์ที่มีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนในการใช้วัคซีนกระตุ้นเข็มที่สาม

เซอร์ เมเน แพนกาลอส รองประธานบริหารฝ่ายวิจัยและพัฒนาด้านยาชีวเภสัชภัณฑ์ (Biopharmaceuticals) ของแอสตร้าเซนเนก้า กล่าวว่า “วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าช่วยปกป้องผู้คนหลายร้อยล้านคนทั่วโลกจากโรคโควิด-19 และข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าวัคซีนดังกล่าวสามารถเป็นวัคซีนกระตุ้นเข็มที่สาม ซึ่งรวมถึงการใช้กับผู้ที่เคยได้รับวัคซีนประเภทอื่นมาก่อน เนื่องด้วยความเร่งด่วนอย่างต่อเนื่องของโรคระบาด และวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า สามารถเพิ่มการตอบสนองของภูมิคุ้มกันต่อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนได้ เราจะดำเนินการยื่นขอทะเบียนอนุญาตทั่วโลกเพื่อนำวัคซีนตัวนี้มาใช้เป็นวัคซีนกระตุ้นเข็มที่สาม”

ศาสตราจารย์ เซอร์ แอนดริว เจ พอลลาร์ด ผู้อำนวยการและหัวหน้าฝ่ายตรวจสอบ Oxford Vaccine Group  มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด กล่าวว่า “ผลการศึกษาที่สำคัญนี้แสดงให้เห็นว่าการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า เป็นวัคซีนกระตุ้นเข็มที่สาม หลังจากที่ได้รับวัคซีนสองเข็มแรกของแอสตร้าเซนเนก้า หรือวัคซีน mRNA หรือวัคซีนเชื้อตาย ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้เป็นอย่างดีเพื่อสู้กับโรคโควิด-19 วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของ ออกซ์ฟอร์ด – แอสตร้าเซนเนก้านั้นเหมาะที่จะเป็นทางเลือกที่จะเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับประชากรของหลายๆประเทศที่กำลังพิจารณาโปรแกรมการฉีดวัคซีนกระตุ้น เพื่อเป็นการเพิ่มป้องกันหลังจากที่ได้รับหลังได้รับวัคซีนมาแล้ว 2 เข็ม”

การทดลองเรื่องความปลอดภัยและการสร้างภูมิคุ้มกัน D7220C00001 แสดงให้เห็นว่าวัคซีนโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้านั้นมีผลข้างเคียงที่ยอมรับได้รับการวิเคราะห์เพิ่มเติมจากการทดลองนี้คาดว่าจะเปิดเผยได้ภายในช่วงครึ่งแรกของปี 2565

จากการศึกษาก่อนหน้าสนับสนุนว่าวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าเป็นวัคซีนกระตุ้นเข็มที่สามได้ทั้งหลังการใช้วัคซีนชนิดเดียวกันและต่างชนิดกัน2,3 การวิเคราะห์ย่อยของผลการทดลอง COV001 และ COV002 แสดงให้เห็นว่าการใช้วัคซีนป้องกันโควิด-19ของแอสตร้าเซนเนก้า เป็นวัคซีนกระตุ้นเข็มที่สามหลังจากการได้รับวัคซีนครบสองเข็มไปแล้ว 6 เดือน สามารถกระตุ้นระดับแอนติบอดีและรักษาการตอบสนองของทีเซลล์ให้อยู่ในระดับคงที่2 การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเข็มที่สามยังสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อไวรัสสายพันธุ์อัลฟา เบตา และเดลตา ได้เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับการใช้วัคซีน 2 เข็ม2  การทดลอง COV-BOOST แสดงให้เห็นว่าวัคซีนป้องกันโควิด-19ของแอสตร้าเซนเนก้า เป็นวัคซีนกระตุ้นเข็มที่สามจะเพิ่มการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมทั้งต่อสายพันธุ์เดลตา และสายพันธุ์ดั้งเดิม ในผู้ที่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19ของแอสตร้าเซนเนก้า หรือ Pfizer BioNtech (BNT162b2)3 มาก่อน

หมายเหตุ

การทดลอง D7220C00001

D7220C00001 เป็นการทดลองที่มีการควบคุมอย่างถี่ถ้วนในผู้ใหญ่ทั้งที่เคยได้รับวัคซีน และยังไม่ได้รับวัคซีนมาก่อน โดยเป็นการทดลองแบบสุ่ม ปกปิดสองทาง ในหลายประเทศ เพื่อให้ทราบถึงความปลอดภัยและการสร้างภูมิคุ้มกันของวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า และ AZD2816 ซึ่งเป็นวัคซีนที่พัฒนาขึ้นเพื่อป้องกันโรคโควิด-19 ที่มีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 สายพันธุ์เบตา4

ข้อมูลการสร้างภูมิคุ้มกันสำหรับการวิเคราะห์เบื้องต้นมาจากกลุ่มตัวอย่างที่ได้รับวัคซีนกระตุ้นเข็มที่สามไปแล้ว 28 วัน ผู้ที่เข้าร่วมในการทดลองครั้งนี้รวมผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด -19 ของแอสตร้าเซนเนก้าจำนวนสองโดส (700 คน) หรือผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีน mRNA จำนวนสองโดส (600 คน) ก่อนที่จะได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า หรือ AZD2816 เป็นวัคซีนกระตุ้นเข็มที่สาม โดยห่างจากการได้รับวัคซีนครั้งล่าสุดเป็นเวลา 3 เดือน

การทดลอง RHH-001 ระยะที่สี่

การทดลองระยะที่สี่โดยเป็นการทดลองแบบสุ่ม ปกปิดทางเดียว ที่สองศูนย์การทดลอง เพื่อประเมินเรื่องความปลอดภัยและการสร้างภูมิคุ้มกันของการใช้วัคซีนกระตุ้นเข็มที่สามแบบต่างชนิดกันไม่ว่าจะเป็นวัคซีนของวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า วัคซีน mRNA (BNT162b2, Pfizer/BioNTech) หรือการใช้วัคซีนอะดีโนไวรัล recombinant (AD26.COV2-S, Janssen) เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้วัคซีนกระตุ้นเข็มที่สามแบบเป็นชนิดเดียวกันของ CoronaVac ในกลุ่มผู้ใหญ่ชาวบราซิลที่ได้รับวัคซีน CoronaVac จำนวนสองโดสไปเมื่อหกเดือนก่อนหน้า ในช่วงระหว่างวันที่ 16 สิงหาคม ถึง 1 กันยายน 2564 มีผู้เข้าร่วม 1,240 คนในเซาเปาโล และซัลวาดอร์ ที่ได้รับการสุ่มให้ได้รับวัคซีนกระตุ้นเข็มที่สาม โดยมีผู้เข้าร่วมจำนวน 1,239 คนที่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นแล้ว1

ผลลัพธ์หลักของการทดลองคือ การทดสอบที่แสดงความไม่ด้อยกว่าของระดับแอนติบอดี anti-spike IgG ที่ 28 วัน หลังได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นในกลุ่มผู้ที่ได้รับวัคซีนกระตุ้นเข็มที่สามแบบต่างชนิดกันเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มผู้ที่ได้รับวัคซีนกระตุ้นเข็มที่สามแบบชนิดเดียวกัน1

วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า (ChAdOx1-S [Recombinant]) เดิมเรียก AZD1222

วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า ถูกคิดค้นโดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด วัคซีนดังกล่าวพัฒนาโดยการนำส่วนของสารพันธุกรรมที่ใช้ในการถอดรหัสการสร้างหนามโปรตีนผิวเซลล์ของไวรัสโคโรนา SARS-CoV-2 ใส่ในโครงของอะดีโนไวรัสซึ่งก่อให้เกิดโรคไข้หวัดทั่วไปในลิงชิมแปนซีที่ถูกทำให้อ่อนแรงลงและไม่สามารถแบ่งตัวได้ โดยหลังจากฉีดวัคซีนเซลส์ในร่างกายมนุษย์จะตอบสนองโดยการสร้างโปรตีนที่มีลักษณะเดียวกันกับหนามโปรตีนผิวเซลล์ของไวรัสโคโรนา SARS-CoV-2 ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ในกรณีที่ได้รับเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายในภายหลัง

วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าได้รับการขึ้นทะเบียนให้ใช้ในภาวะฉุกเฉิน ในกว่า 90 ประเทศ และจากการขึ้นทะเบียนสำหรับการใช้ในภาวะฉุกเฉินโดยองค์การอนามัยโลกในครั้งนี้จะช่วยเร่งให้มีการเข้าถึงวัคซีนใน 144 ประเทศผ่านกลไกการจัดซื้อและจัดสรรวัคซีนของโครงการโคแวกซ์

ภายใต้ข้อสัญญาการอนุญาตให้ใช้สิทธิช่วง (sub-license agreement) กับแอสตร้าเซนเนก้า วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า ถูกผลิตและส่งมอบโดยสถาบันเซรุ่มแห่งอินเดีย โดยใช้ชื่อวัคซีนว่า COVISHIELD

 

References

  1. Costa Clemens SA, et al. Randomized immunogenicity and safety study of heterologous versus homologous COVID-19 booster vaccination in previous recipients of two doses of CoronaVac COVID-19 Vaccine. Preprint 2021. Available at SSRN: https://ssrn.com/abstract=3989848 [Last accessed: January 2022].
  1. Flaxman A, et al. Reactogenicity and immunogenicity after a late second dose or a third dose of ChAdOx1 nCoV-19 (AZD1222) in the UK: a substudy of two randomized controlled trials (COV001 and COV002). The Lancet. 2021;398:981-990.
  1. Munro A PS, et al. Safety and immunogenicity of seven COVID-19 vaccines as a third dose (booster) following two doses of ChAdOx1 nCov-19 or BNT162b2 in the UK (COV-BOOST): a blinded, multicentre, randomised, controlled, phase 2 trial. The Lancet. 2021;398:2258-2276.
  2. Clinicaltrials.gov. Phase II/III Study of AZD2816, for the Prevention of COVID-19 in Adults [Online]. Available at: https://www.clinicaltrials.gov/ct2/show/NCT04973449?term=NCT04973449&draw=2&rank=1 [Last accessed: January 2022].