BRI เปิดช่วงราคาขาย IPO ที่ 10.00 – 10.50 บาทต่อหุ้น เปิดจองซื้อ7 – 9 และ 13 – 15 ธ.ค.นี้

297

บมจ.บริทาเนีย หรือ BRI เปิดช่วงราคาเสนอขาย IPO เบื้องต้นที่ 10.00 – 10.50 บาทต่อหุ้น เปิดจองซื้อวันที่ 7 – 9 ธันวาคม สำหรับผู้ถือหุ้นของ ORI ที่มีสิทธิจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ BRI (Pre-emptive Right) และ 13 – 15 ธันวาคมนี้ สำหรับนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบัน วางยุทธศาสตร์รุกขยายการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยสู่จังหวัดที่มีศักยภาพ เน้นทำเลใกล้นิคมอุตสาหกรรมและแหล่งงานที่สำคัญ ชูความแตกต่างด้านการให้บริการหลังการขายตลอดช่วงอายุของการพักอาศัย (LongLife Living After Sale Service) โชว์กำไรสุทธิ เดือนแรกปีนี้ 452.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55.92% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 

ศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีวิชั่นเป็นผู้นำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบ ที่มุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อพัฒนาการอยู่อาศัยและยกระดับการใช้ชีวิต โดยวางแผนยุทธศาสตร์ขยายการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบไปยังจังหวัดที่มีศักยภาพเพิ่มขึ้น เน้นทำเลที่อยู่ใกล้นิคมอุตสาหกรรมซึ่งเป็นแหล่งงานที่สำคัญ โดยเฉพาะจังหวัดที่มีโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(EEC) หรือเป็นพื้นที่ที่มีอัตราเติบโตของประชากรสูงและมีการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งสาธารณะเพื่อรองรับการเดินทางของประชากรในพื้นที่ดังกล่าว 

บริษัทฯ วางแผนพัฒนาโครงการใหม่ในช่วง ปีข้างหน้า ให้ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดใกล้เคียง เช่น สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยองพระนครศรีอยุธยา เป็นต้น โดยในปี 2565 วางแผนพัฒนาโครงการใหม่ในจังหวัดหัวเมืองใหญ่ที่มีศักยภาพต่างๆ เช่น จังหวัดอุดรธานี เพื่อตอบสนองความต้องการที่อยู่อาศัยของประชาชนในพื้นที่ดังกล่าว

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบ โดยมีการพัฒนาโครงการที่หลากหลาย ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝดและทาวน์โฮม ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด ภายใต้ แบรนด์หลัก ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ซึ่งมีรูปแบบโครงการที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว (Unique Design) ได้แก่ 

1) แบรนด์ “ไบรตัน” เป็นโครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ในพื้นที่ปริมณฑล และต่างจังหวัดจับกลุ่มคนรุ่นใหม่และวัยทำงาน (First Jobber

2) แบรนด์ “บริทาเนีย” เป็นโครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม จับกลุ่มลูกค้าที่เริ่มต้นสร้างครอบครัว พนักงานบริษัทและเจ้าของกิจการขนาดกลางและขนาดเล็ก 

3) แบรนด์ “แกรนด์ บริทาเนีย” เป็นโครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดระดับพรีเมียม จับกลุ่มลูกค้าที่เป็นพนักงานระดับผู้บริหาร เจ้าของกิจการขนาดกลางและขนาดใหญ่ 

4) แบรนด์ “เบลกราเวีย” เป็นโครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ จับกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้บริหารระดับสูง เจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่และคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จเร็ว 

โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 บริษัทฯ มีโครงการที่ปิดการขายแล้ว โครงการ รวมมูลค่าโครงการประมาณ  2,028 ล้านบาท มีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายและโอนกรรมสิทธิ์ 13 โครงการ รวมมูลค่าโครงการประมาณ  17,550 ล้านบาท มีโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนา 6 โครงการ ที่จะเปิดขายในช่วงไตรมาส 4/2564 รวมมูลค่าโครงการประมาณ 4,300 ล้านบาท และวางแผนพัฒนาโครงการใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑลและต่างจังหวัด  โครงการ รวมมูลค่าโครงการประมาณ 10,800 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยเปิดตัวในปี 2565 เช่น โครงการบริทาเนีย ราชพฤกษ์ – นครอินทร์ มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท, โครงการบริทาเนีย อุดร-ดุษฎี มูลค่าโครงการ 650 ล้านบาท, โครงการบริทาเนีย ระยอง มูลค่าโครงการ 1,100 ล้านบาท เป็นต้น 

“เราให้ความสำคัญกับการสร้างความแตกต่างด้านบริการ โดยมีนโยบายให้บริการหลังการขายตลอดช่วงอายุของการพักอาศัย (LongLife Living After Sale Service) มุ่งให้บริการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยเสมือนมีผู้ดูแลส่วนตัว โดยนำเทคโนโลยี Mobile Application เข้ามาให้บริการ สามารถนัดหมายจองคิวการใช้บริการล่วงหน้า เช่น แม่บ้าน ช่างเทคนิค คนสวน เป็นต้น เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกบ้านมีเวลาทำกิจกรรมอื่นๆ เพิ่มขึ้น” ศุภลักษณ์ กล่าว

ส่วนผลการดำเนินงานงวด เดือนแรกปี 2564 มีรายได้รวม 2,808.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.17จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 452.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55.92% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการเปิดโครงการใหม่และโครงการในปัจจุบันที่มียอดขายดี รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร

 

ด้าน พงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า BRI เป็นผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีโครงการที่พัฒนาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 1   โครงการในปี 2560 เป็น 21 โครงการในปี 2564 และใช้ระยะเวลาในการขายต่อโครงการเฉลี่ย ปีครึ่ง ถึง 2 ปี สำหรับโครงการที่สามารถปิดโครงการได้แล้ว นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีจุดเด่นด้านความเชี่ยวชาญการบริหารจัดการต้นทุนพัฒนาโครงการที่มีประสิทธิภาพ  

ทั้งนี้ หลังจากที่ BRI ยื่นแบบคำขอเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์(ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน  252,650,000 หุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 29.6 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้ ปัจจุบันได้รับอนุมัติแบบคำขอเสนอขายหลักทรัพย์และไฟลิ่งมีผลใช้บังคับแล้ว 

พายุพัด มหาผล

พายุพัด มหาผล กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า BRI ถือเป็นผู้เชี่ยวชาญการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบชั้นนำที่มีศักยภาพการเติบโตสูง สะท้อนจากผลการดำเนินงานในอดีตที่ผ่านมา และมีแผนพัฒนาโครงการในอนาคตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้กำหนดช่วงราคาเสนอขาย IPOเบื้องต้นที่หุ้นละ 10.00 – 10.50 บาท โดยจะเปิดให้ผู้ถือหุ้นของบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด หรือ ORI ที่มีสิทธิจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ BRI (Pre-emptive Rights) จองซื้อในวันที่ 7 – 9 ธันวาคมนี้ ได้ วิธี ได้แก่ 

1) จองซื้อผ่านระบบ Electronic Rights Offering (“E-RO”) บนเว็บไซต์ www.yuanta.co.th  

2) ยื่นใบจองซื้อ ณ สำนักงานใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนรับจองซื้อหุ้นในส่วน Pre-emptive Rights

(3) การจองซื้อผ่านทางโทรศัพท์บันทึกเทป (สำหรับผู้ที่มีบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เท่านั้นโดยสามารถจองซื้อเกินกว่าสิทธิ (ไม่กำหนดอัตราสูงสุดการจองซื้อเกินกว่าสิทธิ)

อย่างไรก็ตามผู้ถือหุ้น ORI จะได้รับการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จองซื้อเกินกว่าสิทธิ ต่อเมื่อมีหุ้นที่เหลือจากการจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้น ORI ที่ได้รับการจัดสรรหุ้นที่จองซื้อตามสิทธิครบถ้วนแล้วเท่านั้น โดยหลักเกณฑ์การจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนเกินกว่าสิทธิให้เป็นไปตามที่ระบุในแบบไฟลิ่งและหนังสือชี้ชวน 

ส่วนนักลงทุนกลุ่มอื่นๆ จองซื้อได้ในวันที่ 13 – 15 ธันวาคมนี้ โดยมีผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด รวมถึงผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก ราย ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) 

ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทฯ จะประกาศราคาเสนอขายสุดท้าย (Final Price) ได้ในวันที่ ธันวาคมนี้ (ภายในเวลา 17.00 น.) ผ่านเว็บไซต์ของบริษัทฯ (www.britania.co.th) และบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI จะแจ้งข่าวดังกล่าวทางเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (www.set.or.th) โดยคาดว่าจะนำหุ้น BRI เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วงปลายเดือนธันวาคม 2564  ซึ่ง BRI จะนำเงินจากการะดมทุนไปใช้พัฒนาโครงการ ชำระเงินกู้ยืมและเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ