KBSPIF ชูคุณภาพสินทรัพย์กองทุน มั่นคงด้านกระแสเงินสด จ่ายปันผล 1/2564 อัตรา 0.396 บาท/หน่วย

254

กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้ากลุ่มน้ำตาลครบุรี หรือ KBSPIF โชว์ศักยภาพการดำเนินงานของสินทรัพย์ที่มั่นคง ตอกย้ำกระแสเงินสดดีอย่างต่อเนื่อง โดยกองทุนสามารถจ่ายปันผลจากกระแสเงินสดรับสุทธิรอบปีตั้งแต่ 1 เม.ย 63 – 31 มี.ค. 64 (12 เดือนแรก) ได้ 8.95% ซึ่งเป็นไปตามประมาณการที่แจ้งในหนังสือชี้ชวน หลังประกาศเตรียมจ่ายเงินปันผลงวดการดำเนินงานในไตรมาส 1/2564 ในอัตรา 0.396 บาทต่อหน่วย มั่นใจว่าจะสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอให้แก่ผู้ถือหน่วยได้อย่างต่อเนื่อง  

          ชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการกองทุน KBSPIF เปิดเผยว่า กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้ากลุ่มน้ำตาลครบุรี หรือ KBSPIF (“กองทุน”) มีความสามารถการดำเนินงานที่แข็งแกร่งมาจากคุณภาพทรัพย์สินโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลที่กองทุนเข้าไปลงทุน ซึ่งดำเนินการโดย บริษัท ผลิตไฟฟ้าครบุรี จำกัด หรือ KPP โดยมีคู่สัญญาจำหน่ายไฟฟ้าระยะยาวให้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จำนวน 22 เมกะวัตต์ และ บมจ.น้ำตาลครบุรี อีก 3.5 เมกะวัตต์ รวมการผลิตกระแสไฟฟ้าทั้งสิ้น เป็นจำนวน 25.5 เมกะวัตต์ ทำให้มีความมั่นคงด้านกระแสเงินสดที่ดี

ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการลงทุนของบริษัทจัดการฯ เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 ได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผล จากผลการดำเนินงานของกองทุนฯไตรมาส 1/2564 (มกราคม-มีนาคม 2564) ให้แก่ผู้ถือหน่วยในอัตรา 0.396 บาทต่อหน่วย รวมเป็นเงินประมาณ 110.88 ล้านบาท พร้อมกำหนดวันขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 28 พฤษภาคม 2564 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยในวันที่ 16 มิถุนายน 2564

ทั้งนี้ นับตั้งแต่ที่กองทุน KBSPIF ได้เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ กองทุนได้มีการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยไปแล้ว 2 ครั้งก่อนหน้านี้ คิดรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 0.499 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้อัตราการปันส่วนแบ่งผลตอบแทนตามกระแสเงินสดรับสุทธิในรอบ 12 เดือนแรก (1 เมษายน 2563 – 31 มีนาคม 2564) อยู่ที่ 8.95% ซึ่งเป็นไปตามที่ได้ประมาณการไว้ในหนังสือชี้ชวน

          “กองทุน KBSPIF มีการดำเนินงานที่มั่นคงของกระแสเงินสดที่เกิดจากสัญญาขายไฟฟ้าระยะยาว และสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนตามเป้าหมายที่เราได้เคยประมาณการกระแสเงินสดรับสุทธิไว้ภายใน 12 เดือนแรก โดยมีผลตอบแทนรวม อยู่ที่ 8.95% ส่วนแนวโน้มการดำเนินงานกองทุน KBSPIF ต่อจากนี้ เชื่อมั่นว่าจะยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีจากการสร้างกระแสเงินสดรับจากการแบ่งรายได้จากสัญญาจำหน่ายไฟฟ้าระยะยาว  อีกทั้งกองทุน KBSPIF ไม่ต้องมีภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโรงไฟฟ้า รวมถึงการปิดความเสี่ยงจากการขาดแคลนวัตถุดิบผลิตกระแสไฟฟ้า จึงมั่นใจว่าการดำเนินงานจะเป็นไปตามแผนที่วางไว้” ชวินดา กล่าว