STGT โชว์นักวิเคราะห์โรงงานผลิตถุงมือยาง สุราษฎร์ฯ พร้อมเดินหน้าตามแผน

560

บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ หรือ STGT โชว์ความคืบหน้าฐานการผลิตถุงมือยางในจังหวัดสุราษฎร์ธานี (SR) เตรียมกลับมาเปิดดำเนินการโรงงาน SR2 อีกครั้งในเดือนพฤษภาคมนี้ ส่วนการก่อสร้างโรงงาน SR3 คืบหน้าตามแผนงาน ตอกย้ำความมั่นใจพร้อมเดินเครื่องจักรภายในไตรมาส 2 นี้ตามแผนที่วางไว้ ชูเทคโนโลยีเครื่องจักรที่ทันสมัยสามารถผลิตสินค้าด้วยความเร็วสูง ช่วงครึ่งปีหลังเตรียมทยอยเปิดโรงงานเพิ่มขึ้นอีก 2 แห่ง ในจังหวัดสงขลาและตรัง   

               จริญญา จิโรจน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์รายใหญ่ของโลกเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เปิดให้คณะนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ เข้าชมความคืบหน้าการก่อสร้างและเตรียมพร้อมเดินเครื่องจักรโรงงานผลิตถุงมือยางในจังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อให้ความมั่นใจว่าการขยายกำลังการผลิตของบริษัทฯ เป็นไปอย่างต่อเนื่องตามแผนงานที่วางไว้ โดยมีเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตเป็นประมาณ 1 แสนล้านชิ้นต่อปี ภายในปี 2569

สำหรับความคืบหน้าโรงงาน SR2 จะพร้อมกลับมาเดินเครื่องจักรอีกครั้งภายในเดือนพฤษภาคมนี้ หลังจากที่หยุดการผลิตไว้ชั่วคราวจากเหตุเพลิงไหม้ก่อนหน้านี้ ส่วนโรงงาน SR3 ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างนั้น มีความคืบหน้าตามแผนงาน มั่นใจว่าจะเริ่มเดินเครื่องจักรได้ภายในไตรมาส 2/2564

ทั้งนี้ โรงงาน SR2 และ SR3 เป็นโรงงานผลิตถุงมือยางที่มีเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยของ STGT และทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก สามารถเดินเครื่องจักรด้วยความเร็วสูงและผลิตสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเข้ามาเสริมศักยภาพการผลิตสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการใช้ถุงมือยางจากทั่วโลก ตลอดจนผลักดันผลการดำเนินงานเติบโตอย่างต่อเนื่องและรักษาตำแหน่งผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่ของโลก

ส่วนในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทฯ มีแผนเดินเครื่องจักรโรงงานใหม่อีก 2 แห่งที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ได้แก่ โรงงานแห่งใหม่ในอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา คาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องได้ภายในไตรมาส 3 ปีนี้ และโรงงานแห่งใหม่ในจังหวัดตรัง คาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องจักรได้ภายในไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ สามารถผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นเป็น 36,000 ล้านชิ้นต่อปีในปี 2564 จากเดิมที่มีกำลังการผลิต 33,000 ล้านชิ้นปีในปี 2563 รวมถึงสนับสนุนแผนงานขยายกำลังการผลิตระยะยาวเป็นประมาณ 100,000 ล้านชิ้นต่อปี ภายในปี 2569